นาทีนี้ เรื่องของ ปัญหาเศรษฐกิจ ที่ได้รับผลกระทบจาก สงคราม การค้า จีน–สหรัฐฯ บานทะโรคเข้าไปทุกวัน สัปดาห์ที่ผ่านมา บริษัทจัดอันดับ มูดีส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส ปรับลดแนวโน้มอันดับเครดิตของไทย ด้านเชิงลบ หรือ Negative จากเดิมที่เคยมี เสถียรภาพ หรือ Stable สะท้อนถึงความเสี่ยงที่จะทำให้ ความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจและการคลังของประเทศไทยอ่อนแอลง อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน Moody’s ยังจัดระดับเครดิตความน่าเชื่อถือเราอยู่ที่ Baa1 สถานการณ์ไม่ได้แย่เสียเลยทีเดียว ถ้ารีบแก้ไขได้ทัน

แต่ถ้าจะมองในอีกมุมมองที่เราจะต้องแก้ไขเร่งด่วนเป็นวาระแห่งชาติก็คือ ความน่าเชื่อถือ เนื่องจากในการตั้งข้อสังเกตของ มูดีส์ เที่ยวนี้ เรากับ สปป.ลาว อยู่ในสภาวะการเฝ้าระวังความเสี่ยงทางเศรษฐกิจพอๆกัน ในขณะที่ประเทศในอาเซียนอย่าง สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ ยังอยู่ในสภาวะที่ยังคงมีเสถียรภาพ ตรงนี้คือปัญหาใหญ่กว่า การจะส่งตัวแทนไปเจรจาการค้ากับผู้แทนของสหรัฐฯเสียอีก

ความเชื่อมั่นของไทยค่อยๆหดหายไปจากปัญหาทางการเมืองการปกครองภายใน จากการรับมือกับโรคระบาด กระบวนการทางกฎหมาย การเกิดนิติสงครามในระยะยาว ความสามารถในการแข่งขันทางการค้า และความเชื่อมั่นในตัวบุคลากรภาครัฐ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ สแกมเมอร์ ปัญหาแผ่นดินไหวในเมียนมา ตึกถล่มที่ กทม. การส่งอุยกูร์กลับจีน หรือปัญหาทุนเทา อาชญากรรมโดยฝีมือคนต่างชาติ ล้วนแต่มีผลกระทบกับความเชื่อมั่นโดยตรง

คำถาม คือรัฐบาลทำอะไรแล้วบ้างกับปัญหาเหล่านี้ คำถาม คือทำไมทั้งจีนและสหรัฐฯจึงมองข้ามไทย ไม่ได้อยู่ในสายตาของกลไกในสงครามการค้าครั้งนี้ การคาดการณ์ทางเศรษฐกิจของ มูดีส์ จีดีพีของไทยจะลดจาก 2.9% เหลือประมาณ 2% ก่อนหน้านี้ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF คาดจีดีพีไทยโตแค่ 1.6-1.8% ในขณะที่ประเทศอื่นยังอยู่ในระดับที่ยอมรับได้ 4-5% ขึ้นไป

...

ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ กล่าวเอาไว้ว่า หากดูทุนสำรองระหว่างประเทศในปัจจุบัน ถือว่ามีมากกว่าช่วงที่เริ่มโครงการผ้าป่าช่วยชาติพอสมควร (ปี 2541) อดีตทุนสำรองมีเพียง 2.3 หมื่นล้านดอลลาร์ ปัจจุบันทุนสำรองอยู่ที่ระดับ 2.76 แสนล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นประมาณ 10 เท่า แม้เสถียรภาพจะดีกว่าเมื่อตอนปี 2541 แต่หากเทียบกับเมื่อ 5-6 ปีที่แล้ว ไม่มีความแข็งแรงเท่าที่ควร จากปัญหาหนี้ครัวเรือนและหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้น ดังนั้นอย่า ชะล่าใจ ยิ่งถ้ามองไปข้างหน้าเห็นชัดเจน พายุ กำลังจะมาจากสงครามการค้า

ถือโอกาสที่พายุยังไม่ทวีความรุนแรงเต็มที่ ต้องสร้างกลไกรับมือให้มั่นคงกว่านี้ ย้อนไปที่ต้นเรื่องปัญหาเกิดจาก ความน่าเชื่อถือ โดยเฉพาะบุคลากรภาครัฐที่คุมนโยบายบริหารประเทศอยู่ในขณะนี้ จะปรับก็ต้องปรับใหญ่ ไม่ลูบหน้าปะจมูก ไม่ต้องไปสนใจเรื่องคดีการเมือง หรือ อดีตผู้นำทักษิณ ชินวัตร หรือครูใหญ่ เนวิน ชิดชอบ หรือผู้มีบารมีทางการเมืองจะตกลงกันอย่างไร ผู้มีบารมีปัจจุบันมีเพียง 2 คน โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ กับ สี จิ้นผิง ผู้นำจีน เพราะ บ้านเมืองสำคัญกว่าการเมือง

วิสัยทัศน์ภาวะผู้นำเป็นกุญแจที่จะไขไปสู่อนาคตของประเทศ.

หมัดเหล็ก
mudlek@thairath.co.th

คลิกอ่านคอลัมน์ “คาบลูกคาบดอก” เพิ่มเติม