ข่าว “เขย่าขวด” สุดสัปดาห์นี้เป็นช่วงเวลาปลอดความขัดแย้งทางการเมือง เพราะถนนทุกสายกำลังสาละวนมุ่งมั่นไปที่เรื่องใหญ่

คือการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ

ที่ทำให้โลกปั่นป่วนไปทุกหย่อมหญ้า

ไทยก็คงไม่ต่างไปจากประเทศอื่นเพราะได้รับผลกระทบไปด้วย ดังนั้น รัฐบาลและพรรคการเมืองอื่นจึงต้อง

โฟกัสไปที่จุดนั้นด้วยการระดมความคิดว่าจะทำอย่างไรกับเรื่องนี้

23 เม.ย.2568 ตัวแทนประเทศที่นำโดย “พิชัย ชุณหวชิร” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีคลัง จะเป็นหัวหน้าทีม

แนวทางก็คือการเจรจาเพื่อให้ได้ ข้อตกลง “วิน–วิน” ทั้ง 2 ฝ่าย

นี่เป็นด่านแรกในการออกศึกครั้งนี้จะได้ผลแค่ไหนอย่างไรก็ต้องดูกัน

ต่อไปว่าที่ทำการบ้านมาทั้งหมดตลอดจนการอ่านเกมคู่ต่อสู้นั้น

เข้าเป้าหรือไม่?

อีกด้านก็มีการจับมือกับประเทศในกลุ่มอาเซียนที่ว่าไปแล้วมีพลังไม่น้อยเนื่องจากมีประชากร 500 กว่าล้านคน

จึงเป็นตลาดที่ใหญ่และมองข้ามไม่ได้

อีกทั้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่เป็นจุดสำคัญด้านยุทธภูมิซึ่งรายล้อมจีน ซึ่งสหรัฐฯถือเป็นศัตรูหมายเลข 1 และสหรัฐฯก็ทิ้งไพ่ให้เห็นแล้วว่า เขาต้องการที่จะ เจรจากับกลุ่มประเทศเหล่านี้

ด้วยการประกาศขึ้นภาษีเกือบทุกประเทศ

เพื่อเจรจาและบีบบังคับให้เลือกข้าง เพราะรู้ว่ามีหลายประเทศที่แนบชิดกับจีน จึงต้องการที่จะแยกประเทศเหล่านี้ออกจากจีน

แต่จากความเคลื่อนไหวที่เป็นรูปธรรม “อาเซียน” ก็เกาะกลุ่มกันเพื่อสร้างอำนาจต่อรอง โดยจีนก็หนุนและผลักดันด้วย

ว่าไปแล้วถือว่ามีความแข็งแกร่งไม่น้อยที่ “โดนัลด์ ทรัมป์” จะต้องฟัง

เมื่อสถานการณ์โลกบังคับให้ทุกอย่างพุ่งไปสู่จุดนั้น ย่อมทำให้การเมืองในประเทศที่เกิดความขัดแย้งและสภาปิดสมัยประชุม

...

รัฐบาลก็คงจะเบาตัวขึ้น  เพราะแรงกดดันน้อยลง!

ดังนั้น ช่วงเวลาอย่างนี้ก็ควรเก็บ กวาดบ้านเพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆที่ค้างคาอยู่ให้หมดไป โดยเฉพาะที่ค้างคาใจอยู่ก็คือตึก สตง.ที่ถล่มหลังแผ่นดินไหว

เพราะมีหลายเรื่องหลายประเด็นที่จะต้องมีคำตอบ

ประเด็นใหญ่และเป็นจุดชี้เป็น

ชี้ตายของรัฐบาลก็คือ ความขัดแย้งภายใน โดยเฉพาะ “เพื่อไทย” กับ “ภูมิใจไทย”

ก็ต้องว่ากันให้จบ...

เพราะเป็น “จุดเปราะบาง” ที่สุด!

ประเด็นมันอยู่ที่ “เพื่อไทย” ว่าจะเดินหน้าต่อไปอย่างไร หากยังต้องทำงานร่วมกันเพื่อให้รัฐบาลมั่นคง

แน่นอนว่าการปรับ ครม.ก็เป็น

อีกจุดหนึ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้แล้ว เพราะสถานการณ์ทุกอย่างมันบีบรัดให้ต้องทำอย่างนั้น

เป็นเรื่องที่จะต้องคุยกันให้ชัดเจน

ที่ว่าจำเป็นต้องปรับ ครม.นั้น ก็เพราะหลังเจรจากับสหรัฐฯ ผลออกมาอย่างไร ก็ตาม รัฐบาลจะต้องมีความสดใสมากกว่าปัจจุบัน

เพื่อรองรับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ

จึงจำเป็นที่จะต้องได้ทีมเศรษฐกิจชุดใหม่ที่สร้างความเชื่อมั่นให้ฟื้นคืนกลับมา เพราะต้องเจอกับแรงเหวี่ยงแน่นอน

 แม้ไทยจะผ่านพ้นได้ไม่เจ็บมากนัก แต่เศรษฐกิจโลกเปลี่ยนไปแน่

ยิ่งฐานะเศรษฐกิจไทยที่เสื่อมทรุดอยู่แล้วยิ่งไปกันใหญ่

ถ้าได้ทีมเศรษฐกิจที่ประกาศชื่อออกมาแล้วเรียกเสียงฮือฮาได้ก็จะทำให้ความเชื่อมั่นดีขึ้น ซึ่งจะส่งผลต่อเศรษฐกิจโดยรวมได้

นี่เป็นทางรอดของรัฐบาลทางเดียวที่พอมองเห็น!

"ลิขิต จงสกุล"

คลิกอ่านคอลัมน์ “สับรางวันอาทิตย์” เพิ่มเติม