“แสวงจุดร่วม สงวนจุดต่าง”...ภาษาการเมืองที่มักจะนำมาใช้กันบ่อยๆในช่วงที่เกิดความขัดแย้ง โดยเฉพาะความเป็นรัฐบาลที่มาจากหลายพรรค ก็เพื่อให้รัฐบาลมีเสถียรภาพลดความขัดแย้ง สามัคคีเพื่อจะได้ทำงานร่วมกันต่อไป
อันไหนที่ไปได้ก็รักษาไว้ อันไหนที่ทำท่าจะขัดแย้งแตกหักก็หยุดเอาไว้ก่อน
สถานการณ์ของรัฐบาลชุดปัจจุบันกำลังอยู่ในประเด็นนี้แหละ ก็เพราะยังไม่พร้อมที่จะแตกหัก ไม่พร้อมเลือกตั้ง
อะไรทนได้ก็ต้องทน ที่ทนไม่ได้ก็ต้องทน
มิฉะนั้นจบเห่...
ความขัดแย้งระหว่าง “เพื่อไทย” กับ “ภูมิใจไทย” ครั้งล่าสุดนี้แม้บรรดาลูกพรรคเพื่อไทยจะไม่พอใจที่ถูกหยามจากปาก “เด็ก” เมื่อวานซืน แม้จะเป็นลูกของผู้นำจิตวิญญาณของ “ภูมิใจไทย” คือ “เนวิน ชิดชอบ”
ก็ได้แต่บ่นกันไปเท่านั้น
เพราะ “ทักษิณ ชินวัตร” ผู้นำจิตวิญญาณของ “เพื่อไทย” แสดงท่าทีไม่แยแส บอกทำนองว่า “ก็ภูมิใจไทย” เป็นอย่างนั้นเองไม่ใช่หรือ
คือไม่มีอาการให้ปรากฏ
เรื่องนี้ก็คงจบแบบรอเวลาคิดบัญชีทีหลัง
ว่าไปแล้วทั้ง 2 พรรคนี้ต่างก็รู้กันอยู่เต็มอกว่า เส้นทางการเมืองต่อไปนั้นคือคู่แข่งในสนามการเมืองที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
เพราะต่างก็ต้องการความเป็นหนึ่ง เพื่อกุมอำนาจรัฐในตำแหน่งผู้นำรัฐบาลครั้งต่อไป เพียงแต่วันนี้มีความจำเป็นต้องจับมือกันเป็นผลประโยชน์ร่วม
เพียงแต่ความขัดแย้งครั้งล่าสุดนั้นมันแรงและมีโอกาสแตกหักได้
แต่ก็ต้องจำยอมเพราะไม่มีทางเลือกที่ดีกว่านี้
คงต้องอยู่กันต่อไปอย่างนี้ก่อนจนกว่า “เพื่อไทย” จะมีความพร้อมมากกว่านี้แล้วค่อยมาว่ากันอีกที แต่ดูๆแล้วไม่น่าจะนาน เพราะฝ่ายแกนนำนั้น “ดำนํ้าไม่อึด” เหมือนอีกพรรคหนึ่งที่ทนยอมมานานแล้ว
...
ด้วยรูปการณ์ที่เกิดขึ้นคงมองเห็นภาพแล้วว่าโอกาสที่ “เพื่อไทย” กับ “ภูมิใจไทย” จะจับมือตั้งรัฐบาลกันอีก
“เป็นเรื่องยาก” ไปเสียแล้ว
พูดว่าทักษิณหันไปใช้บริการ “กล้าธรรม” ของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เต็มตัวและชัดเจน เพราะมี “อาวุธครบมือ” แถม “ใจถึง” อีกต่างหาก
เวลาพรรคกล้าธรรมกำลังเดินงานการเมืองอย่างเต็มสูบเพื่อหวังให้พรรคเติบโตอย่างก้าวกระโดด นอกจากแอบฉก “งูเห่า” จากพรรคอื่นๆแล้ว
ยังดึงคนการเมืองให้เข้ามาอยู่ในชายคาเดียวกัน และส่งผู้สมัครชิงเลือกตั้งในสนามต่างๆทั้งภาคอีสาน ภาคใต้
พูดง่ายๆว่าเสริมสาขาพรรคไปตามจังหวัดต่างๆทุกพรรค
เป้าหมายก็คือได้ สส.คราวหน้าลำดับต้นๆ
เพราะรู้ว่า “กล้าธรรม” จะต้องร่วมรัฐบาลแทนที่ “ภูมิใจไทย” ซึ่งทุกวันนี้ก็รบรากันทุกรูปแบบอยู่แล้วทั้งทางตรงและทางอ้อม
ในสนามเลือกตั้งก็เช่นกัน ในสนามการเมืองแบบชิงเหลี่ยมก็ทำให้เห็นมาแล้ว อย่างกรณีสนามกอล์ฟของ “อนุทิน ชาญวีรกูล” หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย
นี่เป็นเกมที่ “ทักษิณ” เล่นเต็มๆ ที่ “ครูใหญ่เนวิน” รู้ดี
ดังนั้น การออกมาคัดค้าน “กาสิโน” เพื่อหาคะแนนนิยมจึงเป็นเกมสวนกลับ
เชื่อได้ว่ายังมีอีกหลายเกมจนกว่าจะถึงจุดแตกหัก!
“สายล่อฟ้า”
คลิกอ่านคอลัมน์ “กล้าได้กล้าเสีย” เพิ่มเติม