“กระอักเลือด” ตามฉากหนังจีนบู๊กำลังภายใน น่าจะอธิบายอาการของนายชวน หลีกภัย ในฐานะ “ปรมาจารย์ใหญ่” ของพรรคประชาธิปัตย์ได้ตรงอารมณ์ที่สุด
ณ จุดที่สำนักตักศิลาการเมือง สมบัติสุดรักสุดหวงแหนต้องพังคามือ
ชื่อ “ชวน หลีกภัย” เสื่อมมนต์ขลัง สุดกำลังจะยื้อค่ายประชาธิปัตย์ไม่ให้ตกไปอยู่ในมือของคนพรรคเดียวกันแต่คนละพวก ภายใต้การนำของ “เสี่ยต่อ” นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน ประมุขพรรคประชาธิปัตย์ คนใหม่
ทำได้แค่ประจานดักคอพวกกลืนน้ำลาย “อย่าเอาพรรคไปหากิน” เชือดเฉือนกับนายเฉลิมชัยที่กัดฟันยืนยันว่า ปชป.ไม่ใช่พรรคอะไหล่
ตามเงื่อนไขสถานการณ์ประชาธิปัตย์ตกอยู่ในมือของทีม “เสี่ยต่อ” แต่คนที่ได้ “แต้มต่อ” มากสุดกลับกลายเป็น “คนบนตึกสูง”
พรรคเพื่อไทยที่จะมี “แต้มสำรอง” อย่างน้อย 21 เสียงเป็น “ไม้กันหมา”
ได้ทีมประชาธิปัตย์ของ “เสี่ยต่อ” ที่ “ก้อร่อก้อติก” มาตั้งแต่ “เสี่ยชาย” นายเดชอิศม์ ขาวทอง ว่าที่เลขาธิการพรรค ยอมรับเต็มปากเต็มคำบินไปร่วมวง “ดีลลับ” ที่ฮ่องกง ตามธงที่แบอ้าซ่า สามารถขู่พรรคร่วมรัฐบาล ทั้งภูมิใจไทย พลังประชารัฐ รวมไทยสร้างชาติ ชาติไทยพัฒนา ไม่กล้าหือ
ใครงอแง เล่นแง่ต่อรอง โก่งค่าตัว โดนถีบทิ้งได้ง่ายๆ
ตามตัวเลข 314 เสียงในสภาฯของรัฐบาลเพื่อไทย บวกแต้มอะไหล่อีก 21 เสียงของประชาธิปัตย์ เสถียรภาพอยู่ในระดับล้นจนเหลือ
เรือลอยลำได้นิ่งๆไม่ต้องเสียวล่มปากอ่าว
แต่จุดที่ได้เปรียบตรงนี้ก็กลายเป็นจุดที่น่าห่วงใยกับเสียงแน่นเกิน จนทำให้ “ย่ามใจ”
...
อารมณ์เหลิง อาการเก่ากำเริบได้ทุกขณะ
จังหวะแบบที่ “โจทก์ตัวแสบ” อย่าง นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานพรรคไทยภักดี ไล่กัดติด ตีปี๊บประจานแกมขู่รัฐบาลของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ และ รมว.คลัง หยุดล้วงลูกคดีทุจริตโครงการจำนำข้าว
อ้างได้รับแจ้งจากข้าราชการกระทรวงพาณิชย์มีการใช้อำนาจกดดัน ขอเอกสาร หลักฐานการระบายข้าว ที่เป็นประโยชน์ต่อการสู้คดีของจำเลย
จับลีลายังแค่ประโคมข่าวตีกัน แต่มันก็เข้าเค้าตามเงื่อนไขพลิกขั้วอำนาจ
อีก“จุดความร้อน” ชัดเจน เหตุเกิดที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ตามข้อมูลที่สื่อขาใหญ่ท่าพระอาทิตย์ ลุยเปิดโปงพฤติการณ์ลับๆล่อๆ
หมูเถื่อนไม่ทันซา ทุจริตปาล์มอินโดฯแทรกคิวด่วนมาเลย
แฉเกมฉวยลูกนัวอาศัยห้วงเปลี่ยนหัวจาก พ.ต.ต.สุริยา สิงหกมล ไปเป็น พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ ขึ้นแท่นรักษาการอธิบดีฯแทน
ดีเอสไอสำแดงเดชเข้าไปเบียดแย่งซีนคดีทุจริตโครงการปลูกปาล์มน้ำมันของกลุ่มพลังงานยักษ์ใหญ่ ทั้งๆที่สำนวนการสอบสวนภายใต้การดำเนินการโดยตำรวจ กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (ปอศ.) ทำงานคืบหน้าไปถึงขั้นสรุปสำนวนส่งฟ้องต่ออัยการเร็วๆนี้
และคดีผ่านมาหลายปี จนคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สั่งฟ้องหลายคดีเกี่ยวเนื่อง ศาลตัดสินลงโทษจำคุกผู้เกี่ยวข้องทั้งผู้บริหารรัฐวิสาหกิจ บริษัทเอกชนที่ร่วมทุจริตรับกรรมไปตามๆกัน
สถานการณ์กำลังรุกคืบ ใกล้ถึงตัว “ไอ้โม่ง” จอมบงการ
ตามรูปการณ์ปกติ แค่ปล่อยให้กระบวนการยุติธรรมเดินหน้าไปตามวิถี สำนวนของตำรวจ ปอศ.ส่งฟ้องไปถึงมืออัยการ ส่งต่อไปตามขั้นตอน
ไม่ว่าทางไหน สุดท้ายก็ต้องไปพิสูจน์กันในชั้นศาล
ในเครื่องหมายคำถาม จำเป็นแค่ไหนที่ดีเอสไอต้องเบียดต้องซีนเข้ามาแย่งตำรวจ ปอศ.ทำคดี นอกจากไม่ทำให้การสอบสวนทุจริตเดินหน้า ยังดึงจังหวะให้ช้าออกไป
ไม่มีหลักประกันสำนวนเปลี่ยน มีผลต่อรูปคดี
จุดนี้นายเศรษฐา ที่ชูธงความโปร่งใส คงต้องเทกแอ็กชันโชว์เบื้องหลังไม่มีอะไรในกอไผ่ ต่อสายถาม พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม อดีตอธิบดีดีเอสไอ เคลียร์ให้ชัด ไม่ใช่แค่นิ่ง อมยิ้มตามสไตล์
อย่าลืม “ดีเอสไอ” คือต้นน้ำ ทำให้ “ระบอบทักษิณ” จุกมาแล้ว.
ทีมข่าวการเมือง รายงาน
คลิกอ่านคอลัมน์ "วิเคราะห์การเมือง" เพิ่มเติม