ในสารานุกรมประวัติศาสตร์ไทย (สำนักพิมพ์รวมสาส์น พิมพ์ครั้งที่ 6 พ.ศ.2542) คำว่า “ทาส” ส.พลายน้อย เริ่มต้นว่า ไทยจะมีใช้มาแต่สมัยใด ไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัด
แม้จารึกหลักที่ 2 สุโขทัย ตอนหนึ่ง จะมีการกล่าวว่า “คนอีกแพะและหมูหมาเป็ดไก่ทั้งห่านนกหกปลาเนื้อ...โปรดให้ซื้อเอาไปปล่อย”
มีผู้รู้ให้ความเห็นว่า “คน” ที่กล่าวถึงนั้นไม่ใช่ทาส เป็นแต่เพียงขายสังกัดที่อยู่ในสังกัดเจ้าขุนมูลนาย
สมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงสันนิษฐานว่า แต่เดิมชนชาติไทยไม่มีที่จะเป็นทาส ไทยมารับใช้ประเพณีทาสมาจากขอม ทาสจึงมีสืบมาในประเทศสยาม
จนกระทั่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้เลิกเสียในรัชกาลที่ 5
กฎหมายลักษณะทาส ฉบับพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ทรงรวบรวมมีคำอธิบายว่า
อันว่า ประเภทแห่งทาสทั้งหลายมี 7 จำพวก อันควรจะใช้ได้นั้น
คือทาสไถ่มาด้วยทรัพย์หนึ่ง คือ ลูกทาสเกิดในเรือนเบี้ยหนึ่ง คือ ทาสได้มาแต่บิดามารดาหนึ่ง คือทาสมีผู้ให้หนึ่ง คือทาสได้มาด้วยช่วยกังวลธุระทุกข์แห่งคนอันต้องทัณฑ์โทษหนึ่ง คือ ทาสอันได้เลี้ยงไว้ในการเมื่อข้าวแพงหนึ่ง คือนำธงไชยไปรบศึกแล้ว ได้มาเป็นทาสเชลยหนึ่ง
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระดำริที่จะปลดปล่อยทาสให้หมดไป ทรงเห็นว่า การมีทาสเป็นเครื่องถ่วงความเจริญของประเทศ
แต่การปลดปล่อยทาสเป็นเรื่องยาก เพราะนายเงินต้องอาศัยทาส และทาสก็ต้องอาศัยนายเงิน จะยกเลิกทันทีทันใดย่อมเดือดร้อนด้วยกันทั้งสองฝ่าย จำจะต้องผ่อนปรนไปทีละน้อย ดังพระราชปรารภ ด้วยเรื่องทาส และเกษียณอายุ เมื่อ 12 ก.ค.2417...ตอนหนึ่งว่า
ลูกทาสซึ่งเกิดในเรือนเบี้ย ตั้งแต่ออกจากท้องพอลืมตาก็นับเป็นทาส มีค่าตัวไปถึงอายุ 100 หนึ่งก็ยังไม่หมด ดังนี้ ดูจะเป็นหาความกรุณาแก่ลูกทาสไม่ ด้วยตัวเด็กที่จะเกิดมาไม่ได้รู้ไม่ได้เห็นสิ่งไรเลย บิดามารดาทำชั่วไปขายตัวท่านแล้ว ยังพาบุตรไปให้เป็นทาสจนสิ้นชีวิตอีกเล่า
...
แต่ครั้งนี้ จะให้เลิกถอนหลุดค่าตัวเสียทีเดียว ถ้านายเงินที่ไม่มีเมตตากรุณาแก่เด็ก ก็จะไม่เอาเป็นธุระให้มารดาเลี้ยงรักษา เพราะเด็กเกิดมาไม่เป็นคุณประโยชน์แก่คน ก็จะเอามารดาไปใช้การงานของตัว มิให้เลี้ยง
เด็กๆนั้นก็จะเป็นอันตรายตายไป
จึงคิดเห็นว่า ถ้าไม่ได้เป็นประโยชน์แก่นายเงินบ้าง นายเงินก็จะไม่มีเมตตากรุณาแก่เด็ก
ถ้าจะตัดลงให้พอมีเวลาหลุดเป็นไทได้บ้าง เห็นจะเป็นการดี ลางทีก็จะรอดจากทาสไปได้
เด็กลูกทาสตั้งแต่อายุ 8 ปีไป นายได้อาศัยขอน้ำขอไฟ ควรคิดจะเอาอายุ 8 ปีเป็นเต็มค่า ตั้งแต่พ้น 8 ปีไป ให้นายมีความกรุณาลดเกษียณอายุให้แก่ลูกทาสจนอายุ 21 ปี เป็นสิ้นค่าเกษียณอายุ พอจะได้ไปทันอุปสมบท และคิดทำมาหากินต่อไป
ถ้าเป็นผู้หญิง ก็ให้มีลูกผัวไปตามการ...ฯลฯ
จากพระราชปรารภนี้ จะเห็นว่า ทรงวางรูปการเลิกทาสอย่างละเอียดรอบคอบมาก และได้ออกพระราชบัญญัติพิกัดเกษียณอายุลูกทาสลูกไทย เมื่อ 21 ส.ค.2417 และมีประกาศลูกทาส 8 ต.ค.2417 และอื่นๆอีกหลายฉบับ
การมีทาสได้สิ้นสุดลง เมื่อ 1 เม.ย.2448 ห้ามการขายตัวลงเป็นทาส และการซื้อขายทาสเป็นโทษทางอาญา
กฎหมายลักษณะอาญา ที่ออกไปในปี 2451 วางโทษซื้อขายทาสเท่ากับโจรปล้นทรัพย์ คือจำคุก 7 ปี
ทั้งหมดที่ผมเลือกคัดตัดตอนเล่า เพื่อจะย้ำความทรงจำพวกเราว่า พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ได้ทรงเลิกทาสเด็ดขาดชัดเจน มาถึงวันนี้ เกินร้อยปี แต่เรื่องที่น่าอนาถ...ทาสจำแลงในหลายๆรูปแบบในบ้านนี้เมืองนี้ ก็ยังมีอยู่
มีความหวังขึ้นมานะครับ...ลุ้นมาหลายรัฐบาล ผมหวังวูบหนึ่งว่า...ก็น่าจะรัฐบาลคุณเศรษฐานี่ล่ะ...หน่วยก้านก็มี ความตั้งใจก็ดี ปัญหาทาสเงินกู้ทั้งในระบบและนอกระบบ จะสูญพันธุ์จากประเทศไทย.
กิเลน ประลองเชิง
คลิกอ่านคอลัมน์ “ชักธงรบ” เพิ่มเติม