ในระหว่างลงพื้นที่สมุทรสงครามเพื่อพบปะประชาชนและหาเสียงเลือกตั้ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้พูดถึงการเมืองที่น่าสนใจ อย่างน้อยสองประเด็น เรื่องแรกกรณีที่รองประธานสภาผู้แทนราษฎรเสนอให้ยุบสภาเพราะล่มบ่อยจนน่าเอือมระอา และประชาชนเสื่อมศรัทธา เรื่องที่สองเรื่องนายกรัฐมนตรีนายกรัฐมนตรีตอบคำถามนักข่าวว่า ตนไม่เคยเข้าไปก้าวก่ายอำนาจของฝ่ายนิติบัญญัติ แสดงว่าเข้าใจผิดในกลไกระบบรัฐสภา เพราะในระบบนี้อำนาจทั้งสองจำเป็นอย่างยิ่งที่จะก้าวก่ายซึ่งกันและกัน อำนาจนิติบัญญัติและบริหารมาจากแหล่งเดียวกัน คือพรรคที่มีเสียงข้างมากเลือกนายกฯ เพื่อให้จัดตั้งรัฐบาลบริหารประเทศครม. กับ ส.ส. อยู่พรรคเดียวกัน ระดับอาวุโสได้รับเลือกเป็นนายกฯหรือรัฐมนตรี ส.ส.ทั่วไปทำหน้าที่นิติบัญญัติ มีหน้าที่อนุมัติร่างกฎหมายของรัฐบาล เช่น ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่าย ถ้าไม่ผ่านสภารัฐบาลก็จะพังทันที ทั้งสองอำนาจจึงต้องก้าวก่ายซึ่งกันและกัน ส่วนใหญ่นายกฯจะเป็นหัวหน้าพรรคที่มีบารมีคุม ส.ส.ส่วนเรื่องนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ ประกาศว่าตนเป็นนายกฯ ของคนไทยทั้งประเทศ และทุกจังหวัด ทำงานเพื่อทุกคน และเปรียบเทียบนายกฯ เหมือน กับพ่อที่มีลูกกว่า 60 ล้านคนที่จะต้องดูแล เป็นการเปรียบเทียบที่มีเหตุผล แต่จะต้องไม่เผลอคิดว่าตนเป็นพ่อของคนไทยทุกคน นั่นไม่ใช่ประชาธิปไตยระบอบที่เรียกว่า “พ่อปกครองลูก” เป็นการปกครองในยุคโบราณ ยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ นับร้อยนับพันปีมาแล้ว นักรัฐศาสตร์บางคนเรียกว่า “ระบบพ่อขุนอุปถัมภ์เผด็จการ” พูดถึงการปกครองแบบพ่อปกครองลูก หรือระบบพ่อขุน คนไทยอาจนึกถึงยุคสุโขทัย แต่นักวิชาการระบุว่าสืบทอดต่อๆกันมา จนถึงปัจจุบันชัดเจนที่สุดคือยุคจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ที่สืบทอดการปกครองแบบที่ใช้ยึดอำนาจ แม้จะผิดกฎหมายร้ายแรง แต่พยายามสร้างความชอบธรรมให้อำนาจ ด้วยการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ มีพรรค การเมือง มีการเลือกตั้งแต่ไม่สุจริตเที่ยง ธรรม ที่สำคัญที่สุดต้องเป็นผู้นำที่เข้มแข็ง มีอำนาจเด็ดขาดที่อาจสั่งฆ่าคนได้สมัยจอมพลสฤษดิ์มีคำสั่งคณะปฏิวัติฉบับที่ 17 มอบอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ทั้งอำนาจนิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการให้นายกรัฐมนตรี เป็นการปกครองด้วย “ความกลัว” ได้ผลระดับหนึ่ง แม้แต่ในยุค พล.อ.ประยุทธ์ก็มีมาตรา 44 เป็นดาบอาญาสิทธิ์ แต่ไม่ศักดิ์สิทธิ์จริง เพราะเป็นคนละยุคคนละสมัย ก้าวถอยหลังยาวเกินไป.