สมมติฐานที่อธิบายสาเหตุของ “ตับอักเสบปริศนา” ใน “เด็ก” นี้น่าสนใจครับ ด้วยข้อมูลที่ว่า...ไวรัส SARS-CoV-2 สามารถติดเซลล์ในระบบทางเดินอาหาร และยังสามารถพบซากเชื้อหรือโปรตีนของไวรัสได้เป็นเวลาหลายเดือนหลังจากหายแล้วถัดมา...โปรตีนของไวรัส SARS-CoV-2 โดยเฉพาะโปรตีนหนามสไปค์ มีบางส่วนที่มีคุณสมบัติเป็น “Superantigen” คือ ไปกระตุ้น “T cell” แบบมากเกินธรรมชาติ เหนี่ยวนำให้เกิดการอักเสบแบบรุนแรงได้แต่ Superantigen นั้น ปกติจะไม่มีผลอะไรที่ต่อโฮสต์ชัดเจน จนกระทั่งมีการติดเชื้อไวรัสอื่นร่วม โดยเฉพาะ “Adenovirus”...ไวรัสตัวร้าย ที่ทำลายระบบของร่างกายไปเหนี่ยวนำให้ Superantigen ดังกล่าวในระบบ ทางเดินอาหารของเด็กถูกกระตุ้นขึ้นมา ส่งผลให้เนื้อเยื่อเกิดการอักเสบ ข้อมูลวิชาการใช้คำว่า “potentiate” ซึ่งหมายถึง ทำให้รุนแรงขึ้น ประเด็นที่ยังไม่ชัดจากคำให้สัมภาษณ์คือทำไม? เพิ่งมาพบอาการปริศนาช่วงนี้ ซึ่งทำให้คิดต่อไปได้ว่า Superantigen ดังกล่าวอาจเกี่ยวข้องกับโอมิครอน โดยสายพันธุ์เก่าก่อนหน้านี้อาจจะยังไม่มี...เป็นสมมติฐานที่น่าสนใจดร.อนันต์ จงแก้ววัฒนา นักไวรัสวิทยา สวทช. โพสต์แสดงความ คิดเห็นไว้ในเฟซบุ๊กส่วนตัวเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา พร้อมเสริมความรู้เชื่อมโยง ถึงสมมติฐานล่าสุดที่ผู้เชี่ยวชาญของ UK รวบรวมเพื่อวิเคราะห์สาเหตุปรากฏการณ์ตับอักเสบปริศนาในเด็กเล็ก ที่ไม่ได้ เกิดจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ A-E และมีแนวโน้มที่พบเคสลักษณะนี้ ในหลายประเทศ ประเด็นคือ ทั้งหมดยังเป็นสมมติฐานที่เป็นไปได้ที่อ้างอิง จากข้อเท็จจริง แต่ยังไม่มีข้อสรุปที่อธิบายถึงสาเหตุที่แท้จริงได้สรุปสมมติฐานเป็น 6 ข้อใหญ่ๆคือ ข้อหนึ่ง...เกิดจากการติดเชื้อ Adenovirus สายพันธุ์ที่พบได้ทั่วไป (ข้อมูลล่าสุดชี้ไปที่ Adenovirus 41) แต่การติดเชื้อไวรัสที่ปกติ ไม่ก่อให้เกิดอาการรุนแรง ทำให้ผู้ป่วยเด็กเหล่านี้ มีอาการตับอักเสบรุนแรง เนื่องจากการตอบสนองของโฮสต์ต่อการติดเชื้อ ของไวรัสที่เปลี่ยนแปลงไปเช่น การ lockdown ป้องกัน...ไม่ได้มีโอกาสให้ไปรับเชื้อตามธรรมชาติ ส่งผลให้ภูมิคุ้มกันที่ควรได้จากธรรมชาติมีไม่มากพอ หรือการไปติดไวรัสโรคโควิดแล้วทำให้ภูมิผิดปกติหลังจากหาย ทำให้การติดเชื้อ Adenovirus รุนแรงกว่าปกติหรือเป็นอาการที่เด็กไปติด Adenovirus พร้อมๆกับ SARS-CoV-2ทำให้เกิดอาการที่รุนแรงมากกว่าปกติหรือปัจจัยอื่นๆ เช่น มลพิษ สารพิษ หรืออะไรที่ทำให้เด็กติดเชื้อ Adenovirus ได้ง่ายและมีอาการรุนแรงขึ้น ข้อสอง...เกิดจากการติดเชื้อ Adenovirus สายพันธุ์ใหม่ที่ไม่เคยพบ ในประชากรเด็กมาก่อน โดยอาจจะมีปัจจัยร่วมเหมือนกรณีที่หนึ่งด้วยก็ได้ ข้อสาม...เป็นอาการที่เป็นผลสืบเนื่องจากที่เด็กติด SARS-CoV-2 มา หรือเป็นหนึ่งของอาการลองโควิด (Long COVID) และเนื่องจากเพิ่งมาพบมากในช่วงโอมิครอนระบาด จึงอาจเป็นไปได้ที่อาจจะเป็นอาการที่จำเพาะต่อการติดเชื้อ “โอมิครอนในเด็ก”ข้อที่สี่...เป็นผลจากปัจจัยอื่นที่ไม่เกี่ยวกับเชื้อโรค แต่เป็นยา สารพิษ มลพิษต่างๆ ข้อที่ห้า... เกิดจากการติดเชื้อที่ยังไม่มีการค้นพบว่าเป็นเชื้ออะไรที่อาจจะเป็นการติดเชื้อดังกล่าวโดยตรง หรือไปติดร่วมกับเชื้อโรคตัวอื่นๆ ข้อที่หก...เกิดจากไวรัส SARS-CoV-2 สายพันธุ์ที่มีการกลายพันธุ์ไปจนแตกต่างจากสายพันธุ์อื่นๆ ซึ่งตำแหน่งกลายพันธุ์นั้นอาจทำให้ไวรัสเข้าทำลายตับได้มากกว่าสายพันธุ์ปกติ“ในขณะที่สาเหตุของอาการตับอักเสบปริศนาในเด็กยังไม่มีข้อยุติ เคสก็มีมากขึ้นเรื่อยๆและพบในหลายประเทศแล้ว จุดยากคือ ถ้ายังไม่รู้สาเหตุที่ชัดเจน การป้องกันจะไม่สามารถทำได้เลย...”ทำความเข้าใจต่อไปอีกว่า “BA.1” และ “BA.2” เหมือนกันแค่ชื่อว่าเป็น “ครอบครัวโอมิครอน” เหมือนกัน ก่อนหน้านี้มีข้อมูลออกมา บอกว่า ภูมิจากการติด BA.1 ไม่พอยับยั้ง BA.2 วันนี้มีข้อมูลมายืนยันเพิ่ม ครับว่า คนที่ติด BA.2 มา...ก็มีแต่ภูมิป้องกันตัวเอง แต่ไม่เพียงพอที่จะไป ยับยั้งไวรัสสายพันธุ์อื่นๆ“ขนาด BA.1 ที่เป็นตระกูลโอมิครอนเหมือนกัน ภูมิก็ขึ้นมาไม่แตกต่าง หรืออาจจะน้อยกว่าภูมิที่ยับยั้งสายพันธุ์เก่าๆก่อนหน้านี้ซะอีก แสดงว่า BA.1 กับ BA.2 จริงๆห่างกันมากเกินกว่าที่จะใช้นามสกุลว่า โอมิครอน เหมือนกันมานานแล้ว”ที่น่าสนใจคือ “ภูมิ” จากไวรัสสายพันธุ์ก่อนช่วงโอมิครอน ถึงแม้ว่า จะมีนามสกุลที่ต่างกันออกไป ไม่ว่าจะ D 614 G, Alpha, Delta, Beta, Gamma จะมีความใกล้ชิดกันมากกว่าโอมิครอน 2 สายพันธุ์ดังกล่าวด้วยซ้ำเห็นได้จากข้อมูลที่ว่า ภูมิจากการติดเชื้อระลอก (Wave) แรก ดูจะ เพียงพอในการยับยั้งไวรัสทุกตระกูลก่อนโอมิครอน แต่ถูก BA.1 หนีได้ มากสุด และรองลงมาเป็น BA.2 ซึ่งสามารถอนุมานคร่าวๆได้ว่า “BA.2” อยู่ระหว่าง “BA.1” กับ “กลุ่มสายพันธุ์เก่า” ในเรื่องของความสามารถของภูมิที่กระตุ้นมายับยั้งไวรัสได้ แต่ประเด็นคือ ตอนนี้ “BA.2” แตกกิ่งออกไปอีกมากมายนับตัวเลขตามไม่ทัน รวมถึง BA.4 BA.5 ที่แตกออกมาจาก BA.2 อีกที ภูมิที่จะมากพอที่จะยับยั้ง BA.2 ตัวใหม่ๆ ก็จะห่างไปเรื่อยๆจากสายพันธุ์เดิมดังนั้น...ระยะที่บอกว่า BA.2 ใกล้วัคซีนที่สร้างมาจากสายพันธุ์เดิม มากกว่า BA.1 อาจจะไม่ใช่ในอนาคต เพราะยิ่งนานวัน BA.2 ตัวใหม่ๆ ก็จะหนีภูมิห่างจากภูมิเดิมไปเรื่อยๆ ไม่มีเหตุผลที่ไวรัสจะปรับตัวย้อน กลับให้ภูมิที่มีมายับยั้งได้...เปลี่ยนแล้วเปลี่ยนเลยครับเพราะเหมือนเจอช่องทางที่ให้ตัวเอง “อยู่รอด” ต่อไปใน “โฮสต์”ภูมิคุ้มกันจากการติดเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 สายพันธุ์ต่างๆ ที่ผ่านมา สามารถช่วยทำให้ร่างกายมีภูมิต่อการป้องกันสายพันธุ์ใหม่ๆ ในอนาคตแตกต่างกันหรือไม่ อย่างไร เป็นคำถามที่น่าสนใจครับทีมวิจัยของ University of Glasgow ได้นำตัวอย่างซีรั่มของผู้ป่วยในระลอกการระบาดต่างๆมาทดสอบเปรียบเทียบกัน โดยมีทั้งคนที่ติดสายพันธุ์ Wuhan, Alpha, Delta และหายจากโควิดแล้ว ในเวฟต่างๆแล้วไปฉีดวัคซีน เพื่อดูว่าวัคซีนสามารถช่วยในการกระตุ้นภูมิให้มากขึ้นอย่างไร โดยใช้ซีรั่มไปตรวจหาแอนติบอดี ทีมวิจัยพบว่า ผลเป็นไปตามคาดคือ ภูมิที่ได้จากการติดสายพันธุ์ ไหนมา ก็จะมีแอนติบอดีไปยับยั้งสายพันธุ์นั้นได้ดีที่สุด แต่ภูมิจากการติดเชื้อแบบไม่ได้กระตุ้นด้วยวัคซีน ไม่สามารถยับยั้งโอมิครอนได้เลยไม่ว่าตัวอย่างนั้นจะไปติดสายพันธุ์ไหนมาในอดีต แต่ถ้าภูมิจากธรรมชาติดังกล่าวถูกกระตุ้นด้วยวัคซีนจะสามารถมีภูมิขึ้นมายับยั้งโอมิครอนได้ โดยภูมิจากการติดเชื้อ Wuhan และ Delta ดูเหมือนจะถูกกระตุ้นจาก วัคซีน เพื่อสร้างแอนติบอดียับยั้งโอมิครอนได้ดีกว่าภูมิที่ไปติด Alpha มา ซึ่งน่าสนใจว่า Alpha เป็นไวรัสสายพันธุ์ที่ใหม่กว่าแต่...การกระตุ้นภูมิต่อสายพันธุ์ที่ต่างออกไปอย่างโอมิครอนอาจจะดูจากเวลาที่มีการติดเชื้ออย่างเดียวไม่ได้ถึงตรงนี้ ดร.อนันต์ จงแก้ววัฒนา นักไวรัสวิทยา สวทช. ฝากทิ้งท้ายว่า ติดโควิดแต่ละสายพันธุ์อาจจะมีความเสี่ยงทำให้เกิดอาการลองโควิดไม่เท่ากันซะทีเดียวครับ ข้อมูลที่พบดูเหมือนว่าสายพันธุ์ BA.2 จะสามารถทำให้ผู้ป่วยโควิดมีอาการลองโควิดได้มากกว่าโอมิครอนสายพันธุ์ ก่อนหน้าและเดลตาข่าวไม่ค่อยดีคือ ตอนนี้สายพันธุ์ที่ครองพื้นที่อยู่คือ “BA.2” และตัวใหม่ๆที่จะมาแทนที่ก็มีฐานมาจาก BA.2 เหมือนกัน ซึ่งไม่คิดว่าจะลดความเสี่ยงลองโควิดลง ป้องกันอย่าให้ติด BA.2 ดีที่สุดครับผม.