สถิติน่าสะพรึง กระตุกต่อมผวา หักมุมกับอารมณ์น่ายินดี ล่าสุดตัวเลขผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด–19 สะสมในประเทศไทยทะลุ 76,000 จ่อ 80,000 ในระยะเวลาอันใกล้ ไต่อันดับต่ำกว่า 100 อย่างพรวดพราด มาอยู่ที่ 98 ของโลกด้วยยอดผู้ติดเชื้อรายวันดีดขึ้นหลัก 1,000–3,000 รายต่อวัน และมีผู้ป่วยหนักเสียชีวิตเพิ่มทุกวันเกินหลัก 10 คน บางวันทะลักกว่า 30 ราย ยอดสะสมกว่า 240 จ่อ 300 ศพท่ามกลาง “คลัสเตอร์” แหล่งระบาดที่โผล่เป็นดอกเห็ดทั่วประเทศโดยเฉพาะจุดอันตรายก็คือ “ชุมชนคลองเตย” ส่อเป็นพื้นที่แพร่เชื้อไวรัสมรณะใหญ่สุดในกรุงเทพฯ ตามสภาพที่ผู้คนจำนวนมาก 8–9 หมื่นคนอยู่กันอย่างแออัดโอกาส “ซุปเปอร์สเปรดเดอร์” แพร่เชื้อกระจายฉุกเฉินถึงขั้นที่ผู้นำอย่าง “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและ รมว.กลาโหม ในฐานะผู้อำนวยการ ศบค.ต้องออกหน้าบัญชาการ คุมเกมสกัดโควิดชุมชนคลองเตยด้วยตัวเองพร้อมกับนั่งหัวโต๊ะเป็นประธานศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์โควิดในพื้นที่ กทม.และปริมณฑล ที่ตั้งขึ้นใหม่แยกย่อยจาก ศบค.ชุดใหญ่ เพื่อบูรณาการการทำงานดึงอำนาจสั่งการตรงผู้อำนวยการเขต 50 เขต กทม.ต่อเนื่องกับเวนคืนอำนาจ ครม. บ่งบอกระดับวิกฤติ สัญญาณการระบาดโควิดในกรุงเทพฯและปริมณฑล โซนแดงเข้ม อยู่ในสถานการณ์รุนแรง ไวรัสมรณะบุกทะลวงศูนย์กลางประเทศไทยถ้าคุมไม่อยู่ในระยะเวลาอันใกล้ เชื้ออาจขยายวงลุกลามยากต่อการสกัดไวรัสโควิดระลอก 3 ต้อน “บิ๊กตู่” เข้ามุมอับตามไฟต์บังคับผู้นำเดิมพัน “ข้าพเจ้ารับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว”ที่แน่ๆโดยภาวะไวรัสมรณะล้อมเมือง หายนะคนติดโรคตาย พอๆกับใกล้อดตายตามสูตรต้องแจกเงินกระตุ้นเศรษฐกิจฉุกเฉิน ล่าสุดที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบมาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากคำสั่งเพื่อระงับยับยั้งและป้องกันการแพร่ ระบาดของโรคโควิด–19 ต่ออายุโปรโมชัน “คนละครึ่งเฟส 3” โครงการเราชนะ รวมถึงเพิ่มวงเงินช่วยเหลือผู้ประกันตน ม.33เทกระเป๋าหมดหน้าตัก ควักงบก้นคลังประคองปากท้องประชาชนต้องบริหารอารมณ์ผู้คนในสังคมที่กำลังหวาดผวา ทางหนึ่งก็กลัวติดโรคตาย อีกทางก็ใกล้อดตายภายใต้กระแสความเชื่อมั่น วิกฤติศรัทธาในตัวผู้นำหายวูบถึงจุดหงุดหงิดเสียงติติงไม่เข้าหู แม้กระทั่งพระนักพูดชื่อดังอัดคลิปเสนอให้รัฐบาลเบรกงบซื้ออาวุธเอาเงินไปช่วยคนเดือดร้อนโควิด มีคำสั่งถึงมหาเถรฯให้เตือนพฤติกรรมไม่เหมาะสม แต่นั่นก็ไม่สะดุ้งเท่า “ตลกดัง” อย่าง “นุ้ย เชิญยิ้ม” โพสต์คลิปตลกร้าย เป็นนัย ฝันอยากให้ลุงๆไปแทนน้าตอกย้ำความรู้สึกสังคม อารมณ์ต้องเสีย “น้าค่อม ชวนชื่น” จากการบริหารโควิดของรัฐบาลโดยเฉพาะความล่าช้าของ “วัคซีน” ความหวังสุดท้ายและยิ่งกว่าตลกร้าย ในภาวะแพนิก คนกลัวตายจากไวรัสล้างโลก มันก็มีบริษัททัวร์หัวใส จัดโปรแกรมนำเที่ยวสหรัฐอเมริกา พร้อมกับฉีดวัคซีนจอห์นสันแอนด์จอห์นสันโดยการเสนอราคาหลักแสน ถ้ารวมไปเยอะๆค่าใช้จ่ายจะลดลงเป็นการสบช่องทางธุรกิจ ชงทางเลือกให้เศรษฐีคนมีกำลัง ตอกหน้ารัฐบาล ย้ำกระแสประชาชนคนไทยไม่เชื่อมั่น ไม่ชัวร์ในศักยภาพ ไม่รอความหวังจากวัคซีนที่ “บิ๊กตู่” ประกาศจะลุยฉีดวัคซีน 100 ล้านโดส ให้ได้ 70 เปอร์เซ็นต์ของประชากรไทย 65 ล้านคน ให้ทันภายในสิ้นปี 2564 นี้ตีปี๊บดีลล่วงหน้า โดยที่ยังไม่มีวัคซีนอยู่ในมือแต่อย่างใดประชาชนคนไทยลุ้นโอกาส “รอดตาย” ขณะที่ผู้นำทหารเฒ่า 3 ป. ลุ้นไปต่อเกมอำนาจเหมือนมวยออกลูก “นัว” พล.อ.ประยุทธ์ลุยถั่วสู้โควิดที่อัดจนงอมพระราม กัดกร่อนศรัทธาเข้าขั้นวิกฤติส่อล้มเหลวทั้งการรับมือโรคระบาด ภาวะเศรษฐกิจซึมยาว การเมืองเน่าในรัฐบาลผสมและในจังหวะสถานการณ์ไหลมาถึงจุด “วัดใจ” ท้าอารมณ์สังคม ภายหลังศาลรัฐธรรมนูญลงมติด้วยคะแนนเอกฉันท์ 9 ต่อ 0 ฟันธง “ผู้กองนัส” ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ส.ส.พะเยา พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะ รมช.เกษตรและสหกรณ์ไม่ขาดคุณสมบัติต้องห้ามในการเป็น ส.ส.หรือรัฐมนตรีตามที่ประธานรัฐสภาส่งความเห็นของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวน 51 คน ขอให้วินิจฉัยคุณสมบัติของ ร.อ.ธรรมนัส ส่อขัดรัฐธรรมนูญ จากกรณีเคยต้องคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายอันถึงที่สุดว่าได้กระทำความผิดในความผิดฐานเป็นผู้ผลิต นำเข้า ส่งออก หรือผู้ค้าซึ่งยาเสพติดโดยศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า คำพิพากษาของรัฐนั้น ไม่ได้หมายถึงคำพิพากษาของศาลต่างประเทศ แม้ข้อเท็จจริงผู้ถูกร้องเคยต้องคำพิพากษาของศาลรัฐนิวเซาท์เวลส์ ออสเตรเลีย ก่อนรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. จึงไม่ถือเป็นคำพิพากษาของศาลไทย ไม่ขาดคุณสมบัติต้องห้ามในการเป็น ส.ส. หรือรัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย“ผู้กองนัส” หลุดบ่วง “คดีแป้ง” ปลดชนักปักหลังกลายเป็น “พยัคฆ์ติดปีก” ถึงขั้นที่คอการเมืองมองข้ามช็อต จากนี้ไป “ผู้กองนัส” จะจิ้มตำแหน่งอะไรก็ได้ทั้งในพรรคที่จ้องเสียบเก้าอี้เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ และ ครม.ที่จ่อคั่วรัฐมนตรีว่าการตามสถานะของ “ห้องเครื่อง” ผู้รับบทหลักในการเสริมฐานอำนาจทหารเฒ่า 3 ป. แน่นปึ้ก“ธรรมนัส” รอด เสริมโอกาสลุงๆไปต่อยาวแต่ในมุมกลับกัน ในสถานการณ์ “บิ๊กตู่” กำลังเป๋ไปเป๋มาจากพายุโควิด หวุดหวิดเจียนอยู่เจียนไปปม “ธรรมนัส” ผุดผ่องเป็นยองใย มันอาจเป็นจุดเร่งเชื้อทำลายภูมิต้านทานรัฐบาลแบบที่สัมผัสทิศทางลม กระแสลามไว อันตรายกว่าโควิดตามรูปการณ์ที่ฝ่ายค้านนำโดยนายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ตั้งแท่นส่งเรื่องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเดินหน้าเอาผิดเรื่อง “จริยธรรม” ไล่บี้มาตรฐานผู้นำตั้งรัฐมนตรีล้อตามกระแสการตัดสินคดีแป้งของ ร.อ.ธรรมนัส ที่กลายเป็นประเด็นระหว่างประเทศ แบบที่สื่อออสเตรเลียพาดหัวข่าวใหญ่ เป็นนัยตั้งคำถามแบบแสบทรวง ต่อไปนี้ผู้ร้ายที่ไหนก็เข้ามาทำงานการเมือง เป็นรัฐมนตรีของไทยได้ ถ้าไม่ได้ทำผิดในประเทศไทยขยายประเด็นเรื่องแปลก กระพือดังไปทั่วโลกขณะที่เมืองไทยวงการกูรูกฎหมาย อาจารย์ นักวิชาการ พากันนั่งไม่ติดปรากฏการณ์แบบที่คณบดีคณะนิติศาสตร์ 2 สถาบันอุดมศึกษาหลัก ทั้งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ต่างเคลื่อนไหวตั้งเครื่องหมายคำถามต่อคำวินิจฉัยสื่อจอมคุ้ยอย่างสำนักข่าวอิศรา มีการย้อนข้อมูลเปรียบเทียบความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกาคณะพิเศษล่าสุด ตอบกระทรวงกลาโหม ไม่ต้องจ่ายบำนาญ นายทหารยศ “พลตรี” ที่ถูกตัดสินจำคุกประเทศสหรัฐฯจากคดีค้ายาเสพติด เพราะไทยจัดทำความตกลงระดับพหุภาคีและระดับทวิภาคีกับประเทศใดความผิดนั้นสามารถรับรองผลของศาลต่างประเทศมาใช้ในประเทศไทยได้ขบวนการ “สืบค้น” ผุดพรึบพรับ เขย่าบรรทัดฐาน “ยุติธรรม-จริยธรรม” และจุดที่ต้องโฟกัสคืออารมณ์แบบที่ตัวแทนรุ่นใหม่อย่างนายพริษฐ์ วัชรสินธุ หรือ “ไอติม” หลานชายอดีตนายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในฐานะผู้ก่อตั้งกลุ่มรัฐธรรมนูญก้าวหน้า โพสต์เฟซบุ๊กกรณี ร.อ.ธรรมนัสร่ายยาวพฤติการณ์ “ระบอบประยุทธ์” ที่พร้อมใช้ประโยชน์จากทุกช่องโหว่หรือสรรหาสารพัดข้อยกเว้น เพื่อยกเว้นความผิดหรือแม้กระทั่งนิรโทษกรรมการกระทำของตนเองในอดีตอะไรจะถูกตัดสินว่าถูกหรือผิด ขึ้นอยู่กับว่าคุณเป็นคนของใครนายพริษฐ์เสนอทางออกเลยว่า การหลุดออกจากความวิปริตนี้ จึงจำเป็นต้องมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อรื้อกติกาที่บิดเบี้ยวและสร้างระบบตรวจสอบที่เข้มแข็ง ผ่านการปฏิรูปที่มาของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและกรรมการองค์กรอิสระทุกคน ให้มีที่มาที่เป็นกลางทางการเมืองเชื่อว่า สิ่งที่หลานชาย “อภิสิทธิ์” โพสต์ ตรงกับอารมณ์สังคมส่วนใหญ่ในจังหวะสถานการณ์เพจ “ย้ายประเทศกันเถอะ” มีคนร่วมใกล้หลักล้านในห้วงแค่ 3–4 วัน สะท้อนแนวคิดการย้ายจากแผ่นดินเกิด แม้เป็นเรื่องที่ยาก แต่ไม่ลำบากในการตัดสินใจคนรุ่นใหม่ นักธุรกิจ แพทย์ วิศวกร ระดับหัวกะทิ อยากย้ายออกจากประเทศไทยเพราะไม่รู้อนาคต ไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์คนที่มีโอกาส ไม่อยากให้ลูก หลาน เกิดมาในสังคมที่ไร้พลวัต ภายใต้รัฐธรรมนูญถูกออกแบบเพื่อการสืบทอดอำนาจ ล็อกองค์กรอิสระได้มาจาก 250 “ส.ว.ลากตั้ง” ที่มาจากการจิ้มของขุมข่ายทหารเฒ่า 3 ป.คนแก่ล็อกอำนาจการนำประเทศ คนรุ่นใหม่ไม่มีสิทธิกำหนดอนาคตตัวเองหลักนิติรัฐ ระบบนิติราษฎร์ ถูกสั่นคลอนด้วย “จริยธรรม”หรือ “ระบอบประยุทธ์” กำลังล้อตามรอย “ระบอบทักษิณ”.“ทีมการเมือง”