“นิพิฏฐ์” แสดงความเห็นส่วนตัวในฐานะทนายความ อย่าให้กรณี “คณากร เพียรชนะ” ผู้พิพากษายิงตัวเองสูญเปล่า ฝากฝ่ายเกี่ยวข้องถึงเวลาต้องทบทวนกระบวนการยุติธรรมหรือยัง
จากกรณี นายคณากร เพียรชนะ ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะชั้นต้นในศาลจังหวัดยะลา ได้ใช้อาวุธปืนพกสั้นยิงตัวเองเป็นเหตุให้ได้รับบาดเจ็บ เมื่อวันที่ 4 ต.ค. 2562 ที่ผ่านมานั้น นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะทนายความ ได้แสดงความคิดเห็น ว่า อย่ามองเรื่องนี้เป็นการเมือง ผู้พิพากษาบางท่านอาจจะชอบพรรคการเมืองใดการเมืองหนึ่งเป็นพิเศษนั้นเป็นสิทธิ์ของท่าน เพราะท่านก็เป็นพลเมืองของประเทศนี้ ท่านอาจจะชื่นชอบพรรคการเมืองใดก็ได้ ถ้าท่านคิดว่าพรรคการเมืองนั้นสามารถแก้ปัญหาของประเทศได้ตรงกับหน่วยงานของท่านที่มีปัญหาอยู่
สำหรับเรื่องที่เกิดขึ้น นายนิพิฏฐ์ มองว่า มีประเด็นหลักอยู่อย่างเดียว คือ ในกระบวนการของศาลไทยมีการแทรกแซงคำพิพากษาได้หรือไม่ ซึ่งผู้พิพากษาที่ยิงตัวเองบอกว่ามีการแทรกแซงการพิพากษาได้ และรู้สึกว่าท่านไม่อิสระในการตัดสินคดีเพราะถูกแทรกแซงจากผู้บังคับบัญชา ฉะนั้น สังคมก็ต้องดูตรงนี้ว่าในกระบวนการตุลาการของไทยมีการแทรกแซงได้จริงหรือเปล่า ถ้าเราดูโครงสร้างของกฎหมายมันไม่สามารถแทรกแซงได้ เพียงแต่มีอำนาจหนึ่งของผู้บังคับบัญชาหรือที่อธิบดีมี คือการให้คำแนะนำผู้พิพากษาในเขตศาลของตัวเอง เมื่อแนะนำแล้วผู้พิพากษาจะไม่ปฏิบัติตามก็ได้ แต่ถ้าแนะนำแรงไปหรือมีการคาดโทษในกรณีที่ผู้พิพากษาไม่ทำตาม อันนี้ก็ถือเป็นการแทรกแซงได้ ทั้งนี้ทั้งนั้น ขึ้นอยู่กับบุคลิกของผู้พิพากษาและอธิบดีแต่ละคนด้วยว่ามีวิธีแนะนำอย่างไร อย่าให้ผู้ใต้บังคับบัญชารู้สึกว่าคุณกำลังแทรกแซงอยู่
...
ส่วนผู้ใต้บังคับบัญชาซึ่งเป็นผู้พิพากษา บางคนก็มีความอ่อนไหว คิดว่าเป็นเรื่องใหญ่โตมากสำหรับเขา หากถูกผู้บังคับบัญชาแนะนำหรือถูกผู้บังคับบัญชาตำหนิ แต่บางคนก็อาจจะคิดว่าเป็นเรื่องธรรมดา แนะนำก็ปฏิบัติตามไป ขึ้นอยู่กับบุคลิกของผู้ใต้บังคับบัญชาแต่ละคน แต่ในกรณีผู้พิพากษายิงตัวเอง คิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญสำหรับท่าน และก็คิดว่าถูกแทรกแซงและรับไม่ได้ก็เลยตัดสินใจในการยิงตัวเอง พร้อมกับมีเอกสารอธิบายถึงเรื่องที่เกิดขึ้นหวังให้สังคมได้รับรู้
นอกจากนี้ นายนิพิฏฐ์ ยังกล่าวด้วยว่า ในเรื่องการแทรกแซงหากเกิดขึ้นจริงๆ ในมุมมองส่วนตัว คิดว่าวิธีการที่จะแก้ได้คือ ทุกอย่างจะต้องโปร่งใส่ สามารถตรวจสอบได้ แต่เป็นเรื่องที่แก้ได้ยาก เพราะเราต้องยอมรับความจริงอย่างหนึ่งว่าในประเทศนี้มี 3 อำนาจ คือ นิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ แต่สิ่งที่ตรวจสอบไม่ได้คือ อำนาจตุลาการ ตนเองเป็นคณะกรรมการแก้วิกฤติตุลาการมาตลอด รวมทั้งเคยคิดกันว่าจะมีการสร้างโครงสร้างเสมือนในต่างประเทศว่าต้องให้ทั้ง 3 อำนาจมีการถ่วงดุลกัน ต้องให้มีการตรวจสอบได้ แต่เราไม่สามารถใช้วิธีการตรวจสอบตุลาการได้ เพราะเราไม่เชื่อใจนักการเมือง ไม่เชื่อว่านักการเมืองจะตรวจสอบผู้พิพากษาได้และจะดีกว่าระบบเดิม ต้องยอมรับความจริงว่านักการเมืองบางส่วนมีสีเทา บางส่วนก็สีดำ และบางส่วนก็สีดำมาก หากจะใช้นักการเมืองที่มีสีเทา สีดำ ไปถ่วงดุลหรือไปดูแลกระบวนการตุลาการ จะเกิดผลเสียมากกว่าผลดี สิ่งเหล่านี้เป็นปัญหามานานร่วม 30 ปี มีการคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ แต่สุดท้ายก็ยังหาวิธีไม่ได้
กรณีผู้พิพากษายิงตัวเองในมุมมองของ นายนิพิฏฐ์ มองว่า “อย่าให้การยิงตัวเองของท่านสูญเปล่า ฝ่ายที่เกี่ยวข้องต้องดูว่าถึงเวลาแล้วหรือไม่ที่ต้องทบทวนกระบวนการยุติธรรม และดูว่าจะต้องทบทวนในเรื่องไหนบ้าง เพราะสิ่งที่ต้องทบทวนก็เพื่อประชาชน เพราะหากถึงวันหนึ่งที่ต้องขึ้นศาล ประชาชนจะต้องมีความเชื่อและมั่นใจว่าจะคดีของท่านจะไม่ถูกแทรกแซง”
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- หมอ เผยอาการล่าสุดของผู้พิพากษา "คณากร" โชคดีกระสุนไม่โดนอวัยวะสำคัญ
- ผู้พิพากษา "คณากร" พูดคุยได้แล้ว เลขาฯ ย้ำศาลยุติธรรมทำงานด้วยความอิสระ
- ผู้พิพากษายะลายิงตัวเอง ปลอดภัยและออกไอซียูแล้ว แพทย์ดูแลใกล้ชิด