“ปิยบุตร” มั่นใจปมกู้เงิน “ธนาธร” ไม่ถึงขั้นยุบพรรค สวดพวกชี้นำไม่ดูข้อกฎหมายให้กระจ่าง “จรุงวิทย์” เผยส่งสำนวนสอบสวนถึงมือ กกต.แล้ว อาจพิจารณา 23 ก.ย.เลย ชี้เข้าเงื่อนกฎหมายขัด พ.ร.บ.พรรคการเมืองมาตรา 87 อนค.เดินสายถกแก้ รธน. “ปิยบุตร” ฉะมรดกบาปรัฐประหาร สร้าง รธน.ขังประชาชนในห้องมืด “ธนาธร” ปลุกอย่าเพิ่งหมดหวัง “จาตุรนต์” ชู ส.ส.ร.ทำหน้าที่ยกร่างใหม่ “เทพไท” ชง “จุรินทร์” ตั้งคณะศึกษาแก้ รธน. วิปรัฐบาลแนะแก้แค่ประเด็นหลัก “เสรี” ย้ำต้องให้ทุกฝ่ายเห็นพ้อง เลิกฝันได้เลยถ้าขืนยังแซะ “บิ๊กตู่-ส.ว.” “คฑาเทพ-มงคลกิตติ์” ท้าทาย ป.ป.ช.สอบโคตรของขลัง ประสานเสียงไม่มีฟอกเงิน ป.ป.ช.แค่จับตามองยังไม่สอบ จ่อเรียก “มนัญญา” แจงไม่ยื่นบัญชีทรัพย์สิน กมธ.สภาตั้งแท่นสอบ “ไก่อู”จับตาประเด็นร้อนกรณีนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ให้เงินกู้กับพรรคอนาคตใหม่ จำนวน 191 ล้านบาท อาจเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยพรรคการเมือง และเป็นไปได้ว่าอาจนำเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในวันที่ 23 ก.ย.นี้อนค.ฉะมรดกบาปรัฐประหารเมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 22 ก.ย. ที่โรงแรมแกรนด์ รอยัลพลาซ่า จ.ฉะเชิงเทรา พรรคอนาคตใหม่จัดงาน “เสวนาแก้รัฐธรรมนูญ ภาคตะวันออก” นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ กล่าวปาฐกถาว่า ประเทศไทยมีการอภิวัฒน์สยาม เมื่อ 24 มิ.ย.2475 รัฐธรรมนูญฉบับแรกคือฉบับวันที่ 27 มิ.ย.2475 ให้อำนาจอยู่กับราษฎรทั้งหลาย เป็นการปักหมุดแรกที่อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน กระทั่งมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับปี 2489 และเกิดรัฐประหารปี 2490 เป็นจุดเริ่มต้นวงจรอุบาทว์ที่ทหารเข้ามามีบทบาททางการเมือง ต่อมาเกิดการรัฐประหารขึ้นอีก 13 ครั้ง จนประเทศไทยมีรัฐธรรมนูญ 20 ฉบับ เกิดการเสียเลือดเนื้อหลายครั้ง มีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลแบบผิดปกติ การเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญใช้วิธีการแบบอนารยชนแทบทั้งสิ้น ใช้วิธีปกติเพียง 3 ครั้งเท่านั้น สะท้อนว่าเป็นประเทศที่มีปัญหาและยังไม่ได้รับการแก้ไข ที่สำคัญอำนาจเป็นของประชาชนหรือของใครกันแน่ จึงแสดงอาการของโรคคือการรัฐประหารออกมาเสมอรธน.ขังประชาชนในห้องมืดนายปิยบุตรกล่าวว่า รัฐธรรมนูญ 4 ฉบับหลัง (รวมรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว) ออกแบบมาเพื่อกำจัด เพื่อแก้แค้นเอาคืนศัตรูทางการเมือง ฉบับปี 2550 ลองไปแล้วไม่สำเร็จก็รัฐประหารซ่อมเมื่อ 22 พ.ค.2557 รัฐธรรมนูญ 4 ฉบับหลังจึงไม่สามารถสร้างฉันทามติ และความสมานฉันท์ของคนในชาติได้ โดยเฉพาะรัฐธรรมนูญปี 2560 ที่มาจากรัฐประหาร พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและ รมว.กลาโหม บอกว่าไม่เกี่ยวเป็นการร่างโดย กรธ. พูดให้ตายก็ไม่มีใครเชื่อ เพราะเป็นการยกร่างที่ชงกันเอง ผลัดกันเกาหลัง วนเวียนอยู่ในอุตสาหกรรมของนักร่างรัฐธรรมนูญเท่านั้น นอกจากที่มาและกระบวนการไม่ชอบธรรม ยังมีปัญหาที่เนื้อหา ต้องการทำให้การรัฐประหารถูกต้องจนกัลปาวสาน และดึงบ้านเมืองถอยหลังลงคลองย้อนไปยุคประชาธิปไตยครึ่งใบ เหมือนรัฐธรรมนูญปี 2521 ที่เลือกตั้งไปก็ได้ทหารคนเดิมกลับมาเป็นนายกฯ และกองทัพฝังตัวในการเมือง เอาการเลือกตั้งมาแต่งหน้าทาปากบอกชาวโลกว่าเป็นประชาธิปไตยแล้ว ไม่ใช่ประชาธิปไตยครึ่งใบแต่เป็นเผด็จการครึ่งใบ และยังเป็นรัฐธรรมนูญที่ขังประชาชนในห้องมืด ถ้าใครริอ่านจะแก้รัฐธรรมนูญต้องผ่านด่านจำนวนมาก และอาจเกิดนายปราการด่านสุดท้ายคือศาลรัฐธรรมนูญที่ไม่ให้แก้ รณรงค์แข็งขันดึงทุกฝ่ายร่วมนายปิยบุตรกล่าวอีกว่า เราจะออกจากรัฐธรรมนูญ 2560 ที่เป็นห้องปิดตายได้อย่างไร ก็ต้องกลับไปสู่จุดเริ่มต้นว่าอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญเป็นของประชาชน ประชาชนเป็นผู้ทรงสิทธิ์ในการก่อตั้ง แก้ไข ยกเลิกเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญได้สมอ เพราะเราเป็นเจ้าของอำนาจ รัฐธรรมนูญจะต้องผ่านกระบวนการมีส่วนร่วมในการออกแบบโดยประชาชนมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ 13 ปีที่ผ่านมาประชาชนถูกขโมยอำนาจนี้ไปใช้กันเองเขียนกันเอง ถึงเวลาแล้วที่ต้องทวงคืนอำนาจการเขียนรัฐธรรมนูญกลับมาที่ประชาชน ต้องรณรงค์อย่างแข็งขันให้เกิดการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ขึ้นมาให้ได้ เมื่อประชาชนมีฉันทามติร่วมกันก็ไม่มีใครมาต้านทานได้ ขอชวนเชิญทุกสีทุกฝ่ายให้มาร่วมแก้ไขรัฐธรรมนูญ“ปิยบุตร” ชี้ปมกู้เงินไม่ถึงยุบพรรคนายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมถึงกรณีที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ให้เงินกู้แก่พรรคว่า เรามีความมั่นใจในกรณีนี้มาก คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เรียกไปสอบสวนหลายครั้ง ประเทศเราระยะหลังมักมีคนออกมาให้ความเห็นทางกฎหมายและชี้นำสังคมว่า พรรคอนาคตใหม่จะถูกยุบ โดยที่ไม่ได้ไปดูข้อกฎหมายอย่างชัดเจน ยืนยันว่าพรรคการเมืองเป็นพื้นที่รวมตัวของปัจเจกบุคคล ใช่หน่วยงานของรัฐ จึงมีเสรีภาพ เว้นแต่กฎหมายห้ามไม่ให้ทำ แตกต่างจากหน่วยงานรัฐที่ต้องกระทำการตามที่กฎหมายกำหนด แต่ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรค การเมือง บัญญัติข้อห้ามไว้ เช่น ห้ามรับเงินจากต่างชาติ ห้ามกระทำการอันเป็นการล้มล้างการปกครอง แต่ไม่มีข้อใดระบุว่าห้ามกู้เงิน และการกู้เงิน ไม่ถือว่าเป็นรายได้ แต่เป็นหนี้ และต่อให้ กกต.จะ วินิจฉัยเป็นเช่นไร โทษของเรื่องนี้ไม่ถึงขั้นยุบพรรค “ธนาธร” ปลุกอย่าเพิ่งหมดหวังนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ กล่าวว่า รัฐประหารที่เกิดขึ้นเมื่อ 22 พ.ค.57 พาประเทศไทยกลับไปสู่วังวนเดิมๆ สิ่งเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นถ้าอำนาจเป็นของประชาชน ตนภูมิใจที่ได้เป็น ส.ส. แม้เขาไม่ให้ทำงานในสภาก็ตาม เพราะ ส.ส.เป็นอาชีพที่มาจากประชาชน ถ้าอำนาจมาจากประชาชน การจัดสรรทรัพยากรต่างๆ ต้องทำเพื่อประชาชน สำหรับการแก้รัฐธรรมนูญฉบับนี้ทุกฝ่ายพูดตรงกันว่ายากแน่นอน เพราะกลุ่มคนที่มีอำนาจ ชนชั้นนำอภิสิทธิ์ชนกุมอำนาจเบ็ดเสร็จ พวกเขาออกแบบรูปแบบรัฐ กองทัพ รถถัง ปืน องค์กรอิสระเขาเป็นคนแต่งตั้ง เขามีกลไก มีเครื่องมือเยอะมากที่จะจัดการคนที่ท้าทายอำนาจ แต่ถ้าคิดว่า ยากแล้วเราไม่เริ่มคงเป็นไปไม่ได้เลย ถ้ากล้าก้าวแรก ด้วยกัน เราจะสร้างความหวังให้กับคนที่หมดหวังไปแล้ว อย่าเพิ่งละทิ้งความฝัน อย่าเพิ่งหมดความหวัง ประชาชนพร้อมเลือกประชาธิปไตยมาตั้งนานแล้ว มีแต่กลุ่มอภิสิทธิ์ชนเท่านั้นที่ไม่พร้อม“อ๋อย” ขอโฟกัสที่แก้ รธน.ก่อนนายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตประธานยุทธศาสตร์พรรคไทยรักษาชาติ และแกนนำกลุ่มก้าวต่อไปเพื่อประชาธิปไตย (กตป.) นายจาตุรนต์ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าวเข้าร่วมกับพรรคอนาคตใหม่ว่า พรรคอนาคตใหม่ชวนตนมาร่วมเสวนาด้วย เพื่อคุยเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เรื่องนี้ตนให้ความสำคัญอยู่แล้ว ยินดีเข้าร่วม จึงอยากพูดถึงเรื่องรัฐธรรมนูญเท่านั้น ของดพูดเรื่องส่วนตัว เพราะไม่อยากไปแย่งพื้นที่การแก้รัฐธรรมนูญ ขณะนี้กำลังเกิดกระแสการรวมกลุ่มกันจัดเสวนาโดยองค์กรต่างๆ จะเป็นเรื่องสำคัญต่อไปตราบจนกว่าจะถูกแก้ไข ประชาชนจะได้เรียนรู้ จากปัญหาบ้านเมือง และเกิดความเข้าใจว่าประเทศไทยจะไปไม่รอด ล้าหลัง และจะเกิดความเสียหาย ทางเศรษฐกิจถ้าไม่แก้รัฐธรรมนูญชู ส.ส.ร.ทำหน้าที่ยกร่างใหม่เมื่อถามว่าจะเข้ามาร่วมเป็นที่ปรึกษาการแก้รัฐธรรมนูญให้พรรคอนาคตใหม่หรือไม่ นายจาตุรนต์ตอบว่า ยังไม่ได้พูดคุยกัน แต่คุยกับพรรคร่วมฝ่ายค้านว่าจะเชิญเข้าไปแสดงความเห็น และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ คงทำงานกับพรรคการเมืองมากกว่า 1 พรรค เมื่อถามว่าเห็นด้วยกับการแก้รัฐธรรมนูญเป็นรายมาตราหรือแก้ทั้งฉบับ นายจาตุรนต์ตอบว่า การแก้รัฐธรรมนูญฉบับนี้ต้องถูกแก้ไขโดยสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) แล้วแก้ทั้งฉบับ แน่นอนว่าบางหมวด บางมาตราแก้ไม่ได้อยู่แล้ว หรือหากจะแก้รายมาตรา ในที่สุดก็อาจจะเจอปัญหาว่าไม่สามารถแก้ไขได้ หรือยากที่จะแก้ไข เพราะติดกติกาบางข้อ เช่น หาก ส.ว.ไม่เห็นด้วยก็แก้ไม่ได้ ฉะนั้นเวลาจะคิดแก้ ไม่ว่ารายมาตราหรือทั้งฉบับ ต้องเริ่มที่การแก้ในมาตราที่ว่าด้วยการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ฝ่ายค้านลุยแหลกแก้ไข รธน.ที่พรรคเพื่อไทย นายสุทิน คลังแสง ประธานวิปฝ่ายค้าน กล่าวว่า พรรคฝ่ายค้านจะเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญใน 2 มิติคู่ขนานกันไป คือในสภาผู้แทน ราษฎรมีญัตติเสนอตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาหลักเกณฑ์แก้ไขรัฐธรรมนูญค้างอยู่ และท่าที ส.ส. โดยรวมไปในทิศทางเดียวกัน มีเพียงพรรคร่วมรัฐบาลบางพรรคเท่านั้น ก็ต้องดูใจต่อไปว่าจะจริงใจมาร่วมกันศึกษาอย่างจริงจังหรือไม่ ส่วนอีกแนวทางหนึ่งเป็นการเดินหน้าร่วมกับภาคประชาชน ฝ่ายค้านจะสัญจรไปให้ความร่วมรู้ และแลกเปลี่ยนกับประชาชนตามภูมิภาคต่างๆเกือบครบทั่วประเทศแล้ว เหลือเพียงภาคใต้ที่จะเดินทางไปเร็วๆนี้ ผลตอบรับที่ผ่านมาดีมาก ประชาชนต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญชัดเจน และเป็นที่น่ายินดีองค์กรภาคประชาชนบางส่วนเดินหน้า ไปก่อน ด้วยการล่ารายชื่อครบ 5 หมื่นรายชื่อ ทำเป็นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญยื่นต่อประธานสภาฯไปแล้วยืนยันว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องจำเป็น เพราะถือว่าเป็นโครงสร้างของประเทศ ถ้าโครงสร้างไม่ดีจะเป็นปัญหาต่อการขับเคลื่อน และแก้ไขปัญหาประเทศหาช่องยื่นสอบจริยธรรม “บิ๊กตู่”นายสุทินกล่าวอีกว่า ส่วนการยื่นสอบจริยธรรมพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ รมว.กลาโหม ฝ่ายค้านจะหารือกันในวันที่ 23 ก.ย. เพื่อประเมินความเป็นไปได้ตามช่องทางที่นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา หัวหน้าพรรคประชาชาติเสนอไว้ และเท่าที่ทราบขณะนี้มีผลสำรวจของมติชนออกมาว่า ประชาชนอยากให้เราอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลในเรื่องการถวายสัตย์ปฏิญาณถึง 95 เปอร์เซ็นต์ สำหรับ ส.ส.ภาคอีสานพรรคเพื่อไทยจำนวนหนึ่งที่ไปกินข้าวกับแกนนำพรรคพลังประชารัฐ ถือเป็นเรื่องธรรมดา เพราะหลายคนเป็นเพื่อนกันมาก่อน หลังจากนี้จะมีการพูดคุยกับ ส.ส.ที่มีรายชื่อออกมา เพื่อขอทราบเจตนาที่แท้จริงเชื่อว่าจะเข้าใจกันดีในที่สุด ไม่กังวลว่าเรื่องดังกล่าวจะลามปามกลายเป็นงูเห่าของพรรคเพื่อไทย แต่ถ้าจะมีงูเห่าเกิดขึ้นคงเป็นงูเห่าจากซีกรัฐบาลที่หนีความอึดอัดมาอยู่กับพรรคฝ่ายค้าน เพราะทราบว่าบางส่วนอึดอัดในการบริหารงานทั้งภายในพรรคและในรัฐบาล“เทพไท” ชงตั้งคณะศึกษาแก้ รธน.ขณะที่นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ได้ทำหนังสือถึงนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ขอให้เรียกประชุมคณะกรรมการบริหารพรรค เพื่อพิจารณาแต่งตั้งคณะทำงานขึ้นมาชุดหนึ่ง มีหน้าที่ศึกษาปัญหา และแนวทางแก้ไขรัฐธรรมนูญในส่วนของพรรค คณะทำงานชุดนี้จะรวบรวมประเด็นปัญหา วิเคราะห์สภาพการเมือง รวมถึงความเป็นไปได้ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และนำเสนอข้อมูลทั้งหมดต่อที่ประชุม ส.ส.ของพรรค จะได้นำไปเป็นข้อมูลในการอภิปรายตอนพิจารณาญัตติด่วนแต่งตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาปัญหาและแนวทางแก้ไขรัฐธรรมนูญ ในสมัยประชุมหน้า ประมาณเดือน พ.ย.อยากได้คนทุกรุ่นใน ปชป.ร่วมวงนายเทพไทกล่าวว่า อยากให้ ส.ส. อดีต ส.ส.ทั้งรุ่นใหญ่ รุ่นกลาง และคนรุ่นใหม่ ตัวแทนสมาชิกรุ่นใหญ่ อาทิ นายบัญญัติ บรรทัดฐาน นายสุทัศน์ เงินหมื่น นายเทอดพงษ์ ไชยนันทน์ คนรุ่นกลาง อาทิ นายกนก วงษ์ตระหง่าน นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ส่วนคนรุ่นใหม่อยากได้สมาชิกกลุ่มนิวเด็มเข้ามาร่วมเป็นคณะทำงานชุดนี้ จะทำให้คณะทำงานมีความสมบูรณ์หลากหลายความ คิด ขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายมีความจริงจัง และจริงใจต่อการแก้ไขปัญหารัฐธรรมนูญ ใช้ระยะเวลาที่เหลืออยู่ก่อนการเปิดสมัยประชุมสามัญครั้งที่ 2 ได้มีข้อสรุปและตกผลึกทางความคิดในส่วนของพรรค การเมืองต่างๆด้วย วิป รบ.แนะแก้แค่ประเด็นหลักด้านนายวิรัช รัตนเศรษฐ ประธานวิปรัฐบาล กล่าวว่า การทำงานของ ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลในช่วงที่ผ่านมา ถือว่าสอบผ่าน แม้คะแนนจะถือว่าไม่ดีมากนักเนื่องจากติดปัญหาหลายประการ แต่เชื่อว่าในอนาคตจะดีขึ้น ส่วนการแก้ไขปัญหาเสียงปริ่มน้ำวิปฯได้กำชับให้ ส.ส.พยายามขาดการประชุมให้น้อยที่สุด ส่วนการแก้รัฐธรรมนูญ เบื้องต้นต้องมีการศึกษาก่อนว่าควรแก้ในประเด็นใดบ้าง ส่วนตัวเห็นว่าไม่ควรแก้ไขหลายประเด็นเกินไป แต่ควรแก้ไขในประเด็นหลักที่เป็นปัญหา พรรคพลังประชารัฐพร้อมพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับทุกพรรค ส่วนการตั้งกรรมาธิการขึ้นมาศึกษานั้น ควรเป็นคณะขนาดกลางที่ไม่ใหญ่มาก เอาแค่ประมาณ 39 คนกำลังดี ถ้าเป็นคณะใหญ่เกินไป จะคุยกันไม่รู้เรื่อง“เสรี” ย้ำต้องให้ทุกฝ่ายเห็นพ้องนายเสรี สุวรรณภานนท์ ประธานคณะกรรมาธิการพัฒนาการเมืองและการมีส่วนร่วมของประชาชน วุฒิสภา และอดีตรองประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ปี 50 กล่าวว่า ตามที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ยืนยันจะรณรงค์ให้เกิดการยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับนั้น ต้องบอกว่าบรรยากาศขณะนี้แตกต่างจากอดีต ขณะนั้นสังคมรวมถึงทุกพรรคการเมืองเห็นพ้องให้ยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ และกลไกก็ไม่ได้สลับซับซ้อนจนแก้ไขได้ยากเหมือนรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ขอย้ำว่าไม่ได้ขวางเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญ แต่จะสำเร็จได้ต้องเกิดจากความเห็นพ้องของทุกฝ่าย ทั้งวิธีการ เงื่อนไข และหลักการ รวมถึงต้องมีมติมหาชนในบางเรื่องด้วย เพราะผ่านการทำประชามติมา จะชอบหรือไม่ชอบก็เป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศไปแล้ว ต้องมีเหตุผลแสดงให้เห็นว่ารัฐธรรมนูญมีปัญหาอย่างไร ต้องดูเงื่อนไขตามรัฐธรรมนูญด้วย ยอมรับว่าแก้ไขยากเลิกฝันขืนยังแซะ “บิ๊กตู่–ส.ว.”นายเสรีกล่าวต่อว่า มติที่ต้องใช้เสียง ส.ส. และ ส.ว.รวมให้ได้กึ่งหนึ่ง คือต้องมีเสียง ส.ว.ประกอบด้วยไม่น้อยกว่าหนึ่งในสาม คือ 85 เสียง ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย ข้อสำคัญบางประเด็นอาจต้องทำประชามติอีก การเสนอแก้ไขนั้นทำได้ แต่จะสำเร็จได้ต้องเป็นความเห็นพ้องของทุกฝ่าย หากฝ่ายค้านยังพูดโจมตีนายกฯ หรือ ส.ว.อยู่ ยิ่งสร้างความขัดแย้ง และยิ่งทำให้สังคมมองออกชัดเจนว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่สำเร็จ จะกลายเป็นสร้างประเด็นการเมืองเพื่อหาเสียงให้ฝ่ายตัวเองมากกว่า ไม่ได้จริงใจหรือตั้งใจรัฐธรรมนูญอย่างที่พูดมา ยิ่งพูดว่าจะแก้ทั้งฉบับยิ่งเป็นไปไม่ได้ และถ้าแก้ไม่สำเร็จก็จะโยนบาปเคราะห์ให้อีกฝ่าย“คฑาเทพ” ท้า ป.ป.ช.สอบเหล็กไหลอีกเรื่อง นายคฑาเทพ เตชะเดชเรืองกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังไทยรักไทย กล่าวถึงการแจ้งบัญชีทรัพย์สินว่าครอบครองเหล็กไหลตีมูลค่าถึง 700 ล้านบาท ว่า ยืนยันไม่มีเจตนาใช้เป็นช่องทางการฟอกเงิน ใครจะมองเช่นนั้นก็แล้วแต่คนจะมอง แต่ตนไม่ทำแน่ ไปตรวจสอบประวัติย้อนหลังได้เลยว่าไม่มีประวัติเรื่องการฟอกเงิน ราคาเหล็กไหล 700 ล้านบาท ไม่ได้ตั้งราคาสูงเกินจริง ดูแล้วยังตั้งราคาน้อยไปด้วยซ้ำ ถ้าเทียบกับสิ่งที่ตนได้รับจากเหล็กไหลในช่วง 20 กว่าปีที่ผ่านมา และมีคนมาขอซื้อในราคา 700 ล้านบาท ถือว่าขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของผู้ซื้อและผู้ขาย แต่ตนไม่ขายและไม่คิดจะขาย ยินดีให้ ป.ป.ช.ตรวจสอบ ไม่กลัว แต่ขอถามว่าจะใช้หลักเกณฑ์อะไรเป็นบรรทัดฐานว่าราคาแพงเกินจริง หรือวัตถุมงคลของขลังแต่ละอย่างมีราคามาตรฐานอยู่ที่เท่าใด เพราะเป็นสิ่งที่ตีราคาไม่ได้ ราคาขึ้นอยู่กับความพอใจของแต่ละคน ป.ป.ช.สอบไปก็ไม่มีประโยชน์ ถ้าบอกว่าตนผิด คงผิดกันหมดทุกคน เพราะแต่ละคนก็ตั้งราคาวัตถุมงคลที่ครอบครองในราคาสูงทั้งนั้น“มงคลกิตติ์” โต้ไม่คิดฟอกเงินนายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคไทยศรีวิไลย์ กล่าวว่า การแจ้งบัญชีทรัพย์สินครอบครองพระเครื่องโดยตั้งข้อสังเกตว่าราคาสูงเกินจริงนั้น ยืนยันว่ามูลค่าพระเครื่องที่แจ้งต่อ ป.ป.ช.ไม่ได้มีราคาสูงเกินจริง น่าจะแจ้งราคาต่ำไปด้วยซ้ำ ราคาที่แจ้งไว้ได้สอบถามจากเซียนพระ ประกอบกับข้อมูลจากราคาตลาดในอินเตอร์เน็ต และความรู้สึกส่วนตัว ที่สำคัญไม่ตั้งใจจะขาย จะเก็บไว้เป็นสมบัติให้ลูก ยืนยันว่าราคาที่ตั้งไว้ไม่ได้เว่อร์ เป็นราคาที่สมเหตุสมผล โดยเฉพาะพระกริ่งปวเรศทองคำที่ระบุราคา 50 ล้านบาทนั้น ราคาตลาดก็อยู่ประมาณนี้ ถ้า ป.ป.ช.จะเรียกไปสอบถามก็ยินดี แต่อยากรู้ว่า ป.ป.ช.จะใช้หลักเกณฑ์อะไรมากำหนดราคากลางของวัตถุมงคลต่างๆขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของบุคคล ถ้า ป.ป.ช.จะตรวจสอบเรื่องนี้จริงอาจลามไปถึง ส.ส.ทุกคน ที่ล้วนมีพระเครื่องดังๆ ตั้งราคาสูงทั้งนั้น การครอบครอง พระเครื่องของตนไม่มีเจตนาเรื่องการฟอกเงินแน่นอนป.ป.ช.แค่จับตามองยังไม่สอบที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) นายวรวิทย์ สุขบุญ เลขาธิการ ป.ป.ช. กล่าวว่า ขั้นตอนแรกเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช.ต้องตรวจสอบความถูกต้อง และความมีอยู่จริงของทรัพย์สินก่อน หากพบว่าเป็นจำนวนมากมายจนผิดสังเกต ถึงขั้นร้องโอ้โห ตั้งราคาผิดไปแปลกๆ ต้องให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายตรวจสอบทรัพย์สินลงไปขอตรวจสอบข้อเท็จจริง ถือว่าเป็นบุคคลที่ควรเฝ้าระวัง แต่คงยังไม่จริงจังถึงขั้นเข้าข่ายการฟอกเงิน เพราะ ป.ป.ช.ไม่ได้ดูเรื่องการฟอกเงินเป็นหลักเพียงแต่ดูความถูกต้องและความมีอยู่จริง แล้วคอยติดตามว่าเมื่อเข้ารับตำแหน่งแล้วใช้อำนาจไปแสวงหาผลประโยชน์มิชอบหรือไม่ การตรวจทรัพย์สินกรณีเข้ารับตำแหน่งหมายถึงตรวจไว้เป็นฐานเบื้องต้นก่อนที่จะเป็นผู้ใช้อำนาจรัฐ แต่ถ้ายื่นมาแบบผิดปกติ หรือตีราคาเว่อร์เกิน ป.ป.ช.ก็ต้องตรวจแบบเฝ้าระวัง เพราะทรัพย์สินพวกเครื่องรางของขลังไม่เหมือนทองคำ ที่มีราคากลางให้เทียบเคียงได้ชัดเจน แต่กรณีเหล็กไหล พระเครื่องไม่สามารถเทียบเคียงได้ แม้จะมี ตลาดพระเครื่อง แต่ราคามาตรฐานในวงการมีหรือไม่เรียก “มนัญญา” แจงไม่ยื่นบัญชีนายวรวิทย์กล่าวอีกว่า ส่วนกรณีที่ น.ส.มนัญญา ไทยเศรษฐ์ รมช.เกษตรและสหกรณ์ ที่ไม่ยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช.ภายในกำหนดนั้น ในวันที่ 23 ก.ย. เจ้าหน้าที่ ป.ป.ช.จะรวบรวมข้อมูลส่งให้ตน เพื่อศึกษาข้อเท็จจริงตามเอกสารโดยยึดข้อกฎหมายเป็นหลัก ก่อนพิจารณาทำหนังสือส่งถึง น.ส.มนัญญา ให้ชี้แจงเหตุผลที่ยังไม่ยื่นบัญชีทรัพย์สิน แต่ขณะนี้มีประเด็นข้อกฎหมายที่ต้องพิจารณาคือ ผู้ยื่นอาจได้รับข้อยกเว้นตามมาตรา 105 วรรคสี่ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทุจริต เพราะเดิม น.ส.มนัญญาดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรี อาจเข้าข่ายได้รับการยกเว้นเรื่องการดำรงตำแหน่งต่อเนื่องหรือไม่ ต้องรวบรวมข้อเท็จจริงเพื่อเสนอต่อที่ประชุม ป.ป.ช.วันที่ 24 ก.ย.นี้ “ศรีสุวรรณ” จี้ติด 2 ส.ส.ของขลังนายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย กล่าวว่า วันที่ 23 ก.ย.นี้เวลา 13.00 น. จะไปยื่นเรื่องต่อ ป.ป.ช.ให้ตรวจสอบกรณีนายคฑาเทพ เตชะเดชเรืองกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคพลังไทยรักไทย และนายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคไทยศรีวิไลย์ แจ้งรายการทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช.เป็นโคตรเหล็กไหลมูลค่ากว่า 700ล้าน และพระเครื่องต่างๆที่มีราคาแพงเกินจริง เป็นที่สงสัยมากว่ามูลค่าทรัพย์สินต่างๆเป็นการสร้างมูลค่าลวงขึ้นมาหรือไม่ มีหน่วยงานหรือองค์กรมาตรฐานใดให้ใบรับรองหรือไม่ อาจเป็นกลเล่ห์ฉลของนักการเมืองที่อาจใช้เป็นข้ออ้างฟอกเงิน เพื่อผ่องถ่ายทรัพย์สินแบบหลอกๆไปเป็นเงินสดในอนาคต หากมีเงินสดหรือทรัพย์สินอื่นงอกเงยขึ้นมาเกินกว่ารายรับที่พึงมีในขณะดำรงตำแหน่งทางการเมือง อาจใช้เป็นข้ออ้างได้ว่าจำหน่ายพระเครื่อง หรือวัตถุมงคลดังกล่าวออกไปในราคาแพงตามที่ตั้งมูลค่าไว้ห่วงเป็นเล่ห์เลี่ยงบาลีฟอกเงินนายศรีสุวรรณกล่าวว่า ดังนั้น ป.ป.ช.ต้องมีหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนในการตรวจสอบมูลค่าทรัพย์สินดังกล่าวของนักการเมือง เพื่อปิดช่องโหว่การเลี่ยงบาลีในการแสดงบัญชีทรัพย์สิน หากเขาไม่สามารถแสดงหลักฐานใบรับรองมูลค่าทรัพย์สินต่างๆได้ ก็ชี้ได้เลยว่าเป็นการจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินอันเป็นเท็จ เพื่อเลี่ยงความจริงที่พึงต้องแจ้งให้ ป.ป.ช.ทราบ ถือเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทุจริตมาตรา 109 มีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือนหรือปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และหากพบว่าทำผิดจริงให้ส่งเรื่องไปยังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเพื่อวินิจฉัยต่อไปกมธ.สภาตั้งแท่นสอบ “ไก่อู”นายธีรัจชัย พันธุมาศ โฆษกคณะกรรมาธิการการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าการตรวจสอบกรณีมีผู้ร้องเรียนว่า อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์มีคำสั่งโดยมิชอบ ไม่เป็นกลางทางการเมือง ให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเผยแพร่เอกสารที่เป็นการโจมตีพรรคการเมืองบางพรรคหรือบุคคลหนึ่งบุคคลใด และให้เผยแพร่เอกสารหาเสียงของพรรคหนึ่งพรรคใดว่า เรื่องนี้จะเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมาธิการฯในวันที่ 26 ก.ย.ว่า จะให้มีการพิจารณาเรื่องนี้ในที่ประชุมกรรมาธิการฯชุดใหญ่เลย หรือจะให้ตั้งคณะอนุกรรมาธิการฯขึ้นมาพิจารณาเบื้องต้นก่อน เพราะต้องรวบรวมข้อเท็จจริงก่อน รวมไปถึงเอกสารต่างๆ ที่ร้องเรียนเข้ามา จนกว่าจะได้ข้อยุติว่าได้มีการสั่งการดังกล่าวจริงหรือไม่ ถ้าหากสั่งการจริงย่อมต้องสั่งการเป็นลายลักษณ์อักษร หรือไม่ก็อาจเป็นสั่งการด้วยวาจาอยู่แล้วกกต.เงื้อดาบปม “ธนาธร” ปล่อยกู้พ.ต.ท.จรุงวิทย์ ภุมมา เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กล่าวถึงการตรวจสอบคำร้องกรณีนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ถูกร้องให้พรรคอนาคตใหม่กู้ยืมเงิน 191 ล้านบาท อาจเข้าข่ายกระทำผิดตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองว่า สำนักงานได้ส่งสำนวนการสอบสวนให้ กกต.แล้ว ปกติเรื่องสำคัญ กกต.แต่ละคนจะทำการศึกษาก่อน จากนั้นประธาน กกต.จะพิจารณาว่าจะบรรจุเข้าระเบียบวาระให้ที่ประชุม กกต.พิจารณาเมื่อใด เรื่องดังกล่าวก็เช่นเดียวกัน เมื่อถามว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่จะมีการนำเรื่องดังกล่าวเข้าพิจารณาในการประชุม กกต. สัปดาห์นี้เลย พ.ต.ท.จรุงวิทย์ตอบว่า ไม่สามารถตอบได้ ขึ้นอยู่กับประธาน กกต.จะพิจารณาบรรจุเป็นระเบียบวาระให้ที่ประชุม กกต.พิจารณาเมื่อใดเข้าเงื่อนกฎหมายขัดมาตรา 87ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนวนที่ทางสำนักงานฯจะเสนอต่อ กกต.นั้น นอกจากจะเป็นการสอบสวนของพนักงานสอบสวนตามคำร้องที่มีการกล่าวหาแล้ว ยังมีความเห็นของนายทะเบียนพรรคการเมืองเสนอไปประกอบการพิจารณาด้วย มีความเป็นไปได้ที่จะเสนอให้ที่ประชุม กกต.พิจารณาในวันที่ 23ก.ย. มีประเด็นที่น่าสนใจคือ กกต.จะตีความข้อกฎหมายอย่างไร โดยหมวดการใช้จ่ายของพรรคการเมือง ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยพรรคการเมืองมาตรา 87 กำหนดให้การดำเนินกิจการของพรรค ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการเลือกตั้งของพรรคและสมาชิก และค่าใช้จ่ายในการบริหารพรรค ให้ใช้จ่ายเงินที่มาจากรายได้ที่กฎหมายกำหนดเท่านั้น ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 15พ.ค. นายธนาธรได้บรรยายตอนหนึ่งระหว่างรับเชิญจากสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทย (FCCT) ว่าในช่วงระหว่างหาเสียงเลือกตั้งพรรคอนาคตใหม่ไม่สามารถระดมทุนได้ทันเวลาสำหรับการหาเสียง จึงให้เงินพรรคยืม 110 ล้านบาท เท่ากับว่านายธนาธรและพรรคอนาคตใหม่ยอมรับว่าเงินที่พรรคใช้ในการหาเสียงเลือกตั้งเมื่อ 24 มี.ค. เป็นเงินกู้ และการที่พรรคนำเงินกู้มาใช้จ่ายเป็นค่าดำเนินกิจการของพรรค และการเลือกตั้ง จะถือว่าขัดมาตรา 87 ที่กำหนดให้การใช้จ่ายในเรื่องดังกล่าว ต้องมาจากเงินรายได้และทรัพย์สินตามมาตรา 62 หรือไม่ “พิชัย” แนะ “ลุงตู่” ดูงาน “ทรัมป์”วันเดียวกัน นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว.พลังงาน กล่าวว่า ตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจที่งทั้งนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี และนายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง คุยโม้ไว้ว่าจะโตถึงร้อยละ 3.5-4 คงเป็นไปไม่ได้แล้ว ในขณะที่การส่งออกทรุด แต่ค่าเงินบาทไทยกลับแข็งค่าขึ้นทุกที อยากให้นายกฯในฐานะหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ที่อาจไม่ค่อยรู้เรื่องผลกระทบของค่าเงินบาท เร่งแก้ไขปัญหา และอยากให้ พล.อ.ประยุทธ์ดูตัวอย่างนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ที่มีบุคลิกโผงผาง ถูกวิพากษ์วิจารณ์หลายด้าน แต่ให้ความสนใจเรื่องเศรษฐกิจอยู่ตลอดเวลา พยายามกดดันและไล่บี้ธนาคารกลางของสหรัฐฯ เพื่อให้รองรับปัญหาเศรษฐกิจจนถึงปัจจุบันเศรษฐกิจสหรัฐฯยังไปได้ดี ตรงข้ามกับประเทศไทยที่มีผู้นำโผงผาง ถูกวิจารณ์อย่างมาก แต่เศรษฐกิจกลับยิ่งย่ำแย่ ประชาชนลำบากกันถ้วนหน้า ถึงขนาดที่มีแฮชแท็ก “#ประยุทธ์ออกไป” ขึ้นอันดับ 1 ในโซเชียลมีเดียมัวแต่หลงทางไล่ล่าเฟกนิวส์นายพิชัยกล่าวว่า ดูเหมือนรัฐบาลยังหลงทาง โดยนำจุดอ่อนข้อเสียของการทำรัฐประหารนำมาเป็นจุดขาย อย่างการจัดอันดับความสะดวกในการลงทุน ตั้งแต่ปฏิวัติมาอันดับรูดไปอยู่ที่ 49 จากเดิมก่อนปฏิวัติอยู่ที่อันดับ 18 ปีที่แล้วขยับมาอยู่อันดับ 27 แต่รัฐบาลพยายามนำมาเป็นจุดขาย ทั้งที่เป็นจุดที่น่าจะละอายมากกว่า ปีนี้ต้องดูกันว่าดีขึ้นไหมหลังจากเลือกตั้งแล้ว และอีกเรื่องที่หลงทางหนัก คือกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ควรเตรียมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี และ disruption รวมถึงการเร่งพัฒนา Ai, Robotic และ Blockchain ฯลฯ แต่กลับไปใส่ใจกับเรื่องข่าวปลอมหรือเฟกนิวส์ จนเหมือนเป็นนโยบายเดียวของกระทรวงนี้ ทั้งที่เรื่องเฟกนิวส์ที่ใหญ่ที่สุดในขณะนี้คือเรื่องที่รองอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ ออกมาแฉและกล่าวหาว่า พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด หรือ “เสธ.ไก่อู” อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ เจ้าของผังล้มเจ้าปลอม แทรกแซงสื่อรัฐ มีการร้องเรียนไปยัง ป.ป.ช. และ กกต.แล้ว อยากให้เร่งตรวจสอบ หากกระทำความผิดจริงน่าจะเร่งลงโทษ เพื่อสนองนโยบายการปราบเฟกนิวส์ของรัฐบาล โดยต้องเริ่มจากการตรวจสอบคนของรัฐบาลก่อน เพราะทุกคนทราบดีว่า พล.ท. สรรเสริญ เป็นคนของใคร และใครส่งเข้ามาเป็นอธิบดีพปชร.โต้มือไม่พายเท้าราน้ำนายธนกร วังบุญคงชนะ รองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวตอบโต้นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ที่ระบุว่ารัฐบาลมีงบประมาณซื้อรถหุ้มเกราะแต่ต้องเปิดรับบริจาคช่วยน้ำท่วมว่า ผิดหวังกับนายธนาธรที่บอกว่าเป็นคนรุ่นใหม่แต่กลับมีวิธีคิดแบบเก่า ไร้จิตสำนึกความเป็นนักการเมืองที่ดี นำความเดือดร้อนของประชาชนมาโยงกับการเมือง อยากให้นายธนาธรและพรรคฝ่ายค้านมาร่วมแรงร่วมใจกันช่วยเหลือประชาชนดีกว่าใช้วาทกรรมโจมตีรัฐบาล ไม่ใช่เอาแต่ดราม่าเหน็บแนมรัฐบาลไปวันๆ รัฐบาลนี้ไม่เน้นพูดแต่เน้นทำ การเปิดรับบริจาคเป็นคนละเรื่องกับงบประมาณของรัฐบาล เป็นเรื่องน้ำใจของคนไทยที่เห็นอกเห็นใจ เอื้ออาทร ช่วยเหลือกันยามเกิดภัยพิบัติ ต่างประเทศและทั่วโลกก็ทำกันเวลามีภัยพิบัติ อยากให้นายธนาธรกลับตัวกลับใจ ไม่ใช่วันๆ สมองคิดแต่เรื่องเก่าๆมุ่งโจมตีรัฐบาลโดยไม่สนความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนปลัดแรงงานชงตั้งระดับอธิบดีนายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวถึงความคืบหน้าการเตรียมเสนอรายชื่อแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการระดับอธิบดี 3 ตำแหน่ง และรองปลัดกระทรวง 3 ตำแหน่งว่า ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล รมว.แรงงาน มอบหมายให้คัดสรรข้าราชการที่มีความรู้ความสามารถขึ้นไปให้พิจารณา ซึ่งได้พิจารณาตามหลักเกณฑ์ที่สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) มีแนวทางไว้ โดยต้องดูจากความอาวุโส ประกอบกับดูความเหมาะสมจากประวัติการทำงาน และประสบการณ์ มั่นใจว่าได้พิจารณาอย่างดีแล้ว ข้าราชการที่ได้รับแต่งตั้งจะสามารถสานงานตามนโยบายของรัฐมนตรีได้ทันที“สุชาติ” ไม่สะดวกตอบโดนเด้งผู้สื่อข่าวรายงานว่า กระทรวงแรงงานเตรียมเสนอบัญชีรายชื่อแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการระดับสูง เข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในวันที่ 24 ก.ย. เพื่อพิจารณาอนุมัติแต่งตั้งทดแทนตำแหน่งที่เกษียณอายุราชการ โดยนายธวัช เบญจาธิกุล ผู้ตรวจราชการกระทรวง เป็นเลขาธิการสำนักงานประกันสังคม นายอภิญญา สุจริตตานันท์ ผู้ตรวจราชการกระทรวง เป็นอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ขณะที่นายทศพล กฤตวงศ์วิมาน ผู้ตรวจราชการกระทรวง จะเป็นอธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน โดยมีกระแสข่าวว่าจะมีการโยกนายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ไปเป็นอธิบดีกรมการจัดหางาน แทนนางเพชรรัตน์ สินอวย ที่เกษียณอายุราชการ เมื่อสอบถามไปยังนายสุชาติ ถึงการถูกโยกย้ายได้กล่าวสั้นๆว่า “ไม่ทราบ และไม่สะดวกที่จะคุยในเรื่องนี้” กลุ่มต้านจัดหนัก “ขับไล่โจร 500”เมื่อเวลา 13.00 น. ที่หน้าร้านแมคโดนัลด์ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย กลุ่มรณรงค์ไม่เอารัฐบาลเถื่อน นำโดยนายไตรรัตน์ ผลศิริวัจน์ หรือทนายแฟรงค์ และกลุ่มเลือกข้างประชาธิปไตย นำโดยนายภัทรพล ธนเดชพรเลิศ หรือไก่บิ๊กแมน นัดรวมตัวชุมนุมขับไล่รัฐบาล ครั้งที่ 4 ก่อนเริ่มเปิดปราศรัยโจมตีรัฐบาลบริเวณหน้าโรงเรียนสตรีวิทยา จากนั้นได้จัดกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์เผาพริกเผาเกลือ “ขับไล่โจร 500” โดยนำภาพ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มาเผาแล้วร่วมกันสาปแช่ง และเดินชูป้ายข้อความต่อต้านทหารจากอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ไป-กลับแยกคอกวัว ก่อนสลายการชุมนุมไป แต่ประกาศเชิญชวนมวลชนมาร่วมชุมนุมต่อในสัปดาห์หน้า ให้นำไฟฉายมาด้วยเพื่อส่องหาประชาธิปไตยที่หายไป ท่ามกลางเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ระดมกำลังมารักษาความปลอดภัยจำนวนมากโพลชี้คนผิดหวัง “บิ๊กตู่” ไม่เคลียร์วันเดียวกัน สวนดุสิตโพลเปิดผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนทั่วประเทศ จำนวน 1,164 คน เรื่อง “ควันหลง” การอภิปรายรัฐบาลประยุทธ์ พบว่า ส่วนใหญ่ร้อยละ 61.86 ให้ความสนใจติดตามการอภิปรายเพราะอยากฟังข้อมูลการอภิปรายของฝ่ายค้าน อยากรู้ว่ารัฐบาลจะชี้แจงอย่างไร ส่วนคนที่ไม่สนใจให้เหตุผลว่าเบื่อหน่าย ไม่ชอบการเมือง มัวแต่ทะเลาะกัน สนใจเรื่องน้ำท่วมและปากท้องมากกว่า นอกจากนี้ ส่วนใหญ่เห็นว่าการอภิปรายครั้งนี้ประชาชนได้ประโยชน์ ได้รู้ข้อมูล ข้อเท็จจริงมากขึ้น ได้เห็นท่าที มุมมอง แนวคิดของทั้ง 2 ฝ่าย ส่วนเหตุผลที่ไม่ได้ประโยชน์ เพราะไม่ได้คำตอบที่ชัดเจนจากนายกฯ ไม่มีการตัดสินชี้ชัด ไม่มีการลงมติ ไม่ได้อภิปรายเรื่องเศรษฐกิจและปากท้อง เป็นเรื่องการเมือง ไม่เกี่ยวกับประชาชน และเสียเวลา สิ้นเปลืองงบประมาณจี้แก้เดือดร้อนพิษเศรษฐกิจขณะที่นิด้าโพลเปิดเผยผลสำรวจความเห็นประชาชน จำนวน 1,266 คน เรื่อง “จะเรียกร้องอะไรจากนายกรัฐมนตรี” พบว่า ส่วนใหญ่ร้อยละ 44.59 สิ่งที่จะเรียกร้องเป็นเรื่องแรกหากพบนายกฯ คือขอให้ช่วยแก้ไขความเดือดร้อนจากพิษเศรษฐกิจ รองลงมาอยากขอให้ช่วยแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนจากภัยทางธรรมชาติ สำหรับความคิดเห็นประชาชนต่อคำกล่าวของนายกฯที่ว่า “ประชาชนเคยชินกับสิ่งที่เคยได้ โดยไม่สนใจว่าจะถูกหรือผิด” พบว่าส่วนใหญ่ร้อยละ 52.84 ไม่เห็นด้วย เพราะประชาชนได้รับความเดือดร้อนจริงๆ มีร้อยละ 19.51 ที่เห็นด้วย เพราะประชาชนยังรอคอยความช่วยเหลือจากรัฐบาลเพียงอย่างเดียว บางกลุ่มเอาแต่ได้ ไม่รู้จักปรับตัว