“ยุบพรรค” ไทยรักษาชาติเรียบร้อยไปแล้ว กก.บห.ถูกตัดสิทธิ 10 ปี ทำให้ภาวะการแย่งชิงผู้มีสิทธิเลือกตั้งจึงสำคัญยิ่ง 130 เสียง คือเป้าหมายหากหวังได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลใหม่

ข่าว “เขย่าขวด” สุดสัปดาห์นี้สุดท้ายก็ลงเอยด้วยคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญก็มีผลออกมา 3 ประการต่อพรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.)

1, ยุบพรรค มติเอกฉันท์ 9-0 คะแนน

2, ตัดสิทธิการเมือง 10 ปี มติ 6-3 คะแนน

3, ห้ามตั้งพรรค ห้ามมีชื่อเป็นกรรมการบริหารพรรค และห้ามร่วมจัดตั้งมติ 9-0 คะแนน

ประเด็นสำคัญอยู่ตรงที่กรรมการบริหารพรรคจำนวน 13 คน ที่ถูกตัดสิทธิ 10 ปี ด้วยมติ 6 เสียง แต่อีก 3 เสียงปรากฏว่าให้ตัดสิทธิตลอดชีวิต

ถือว่าโชคดีไป มิฉะนั้นก็จะต้องยุติงานการเมืองไปชั่วชีวิต นี่แค่ 10 ปี ยังมีโอกาสบนเส้นทางการเมืองไประยะหนึ่ง จากนี้ไปอะไรจะเกิดขึ้น?

ประเด็นหนึ่งก็คือ ผู้ที่ต้องการจะลงคะแนนให้พรรคไทยรักษาชาติที่ผู้สมัคร ส.ส.เขตจำนวน 174 คน ปาร์ตี้ลิสต์อีก 108 คน จะเทเสียงไปทางไหน

นี่ก็เป็นอีกตัวแปรหนึ่งซึ่งจะมีผลต่อการเลือกตั้ง...

หมายความว่าเมื่อพรรคที่ถูกยุบนั้นเป็นแบงก์ร้อยที่แตกมาจากแบงก์พันทำให้แผนการแยกกันเดินรวมกันตีไม่เข้าเป้า

สูญเสียผู้สมัครระดับแกนนำสำคัญไปจำนวนไม่น้อย

เท่าที่ฟังเสียงความเป็นไปได้

...

มากที่สุดน่าจะเทไปให้พรรคที่เรียกตัวฝ่ายประชาธิปไตยมากกว่าไปที่พรรคฝ่ายตรงข้าม

อีกตัวแปรหนึ่งก็คือผู้มีสิทธิลงคะแนนเลือกตั้งจำนวนหนึ่งราว 50% ยังไม่ตัดสินใจที่จะเลือกพรรคการเมืองไหน

ก่อนที่จะถึงวันเลือกตั้งจากนี้ไป หากพรรคการเมืองใดสามารถโน้มน้าวด้วยแรงจูงใจให้หันมาสนับสนุนจึงน่าจะเป็นประเด็นสำคัญ

ตัวบุคคลในรายชื่อนายกฯ นโยบายทีเด็ด กระสุนดินดำและกระแส

ปัจจัยต่างๆเหล่านี้ล้วนมีส่วนสำคัญที่จะเข้ามามีบทบาท เพื่อสร้างคะแนนในโค้งสุดท้ายก่อนจะมีถึงวันที่ 24 มี.ค.62

ที่แปร่งๆแปลกๆอยู่อย่างคือพรรคภูมิใจไทยในเบื้องลึกรู้กันดีว่าน่าจะสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯ

ล่าสุด “อนุทิน ชาญวีรกูล” หัวหน้าพรรคได้ประกาศจุดยืนทางการเมืองชัดเจนว่าจะหนุนบุคคลใดเป็นนายกฯจะต้องมาจาก ส.ส.

พูดง่ายๆว่าไม่ยอมรับ “บิ๊ก คสช.” เพราะแม้ว่าจะผ่านขั้นตอนการเข้าสู่การเมืองด้วยการเสนอตัวเป็นนายกฯในนามพรรคพลังประชารัฐ

ซึ่งไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ไม่ได้เป็น ส.ส.

หรือว่าจะก้าวข้ามไปสู่การเป็นนายกฯด้วยตัวเอง...

“ประชาธิปัตย์” ที่ชัดเจนด้วยท่าทีของ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” หัวหน้าพรรคที่ประกาศว่าจะไม่ร่วมกับพรรคการเมืองโกง

“เพื่อไทย” คงอยู่ในความหมายนั้น

รายนี้คงหวังไม่ต่างกัน!

มีการวางตัวเลขพรรคการเมืองที่จะได้ ส.ส.มากที่สุดอยู่ที่ตัวเลข 130 เสียง (บวก-ลบ) ดังนั้น พรรคไหนได้อันดับ 1 และ 2

โอกาสที่จะได้เป็นแกนนำตั้งรัฐบาลชุดใหม่จึงมีสูง เพราะเงื่อนไขบังคับให้เป็นไปอย่างนั้น เพราะมีการจัดขั้วในลักษณะที่ต้องไปอย่างนั้น

อนึ่ง เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา มี “แอ็กชัน” อยู่อย่างหนึ่งคือการที่ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ. ได้สั่งระดมพลระดับหัวหน้าหน่วยเพื่อแสดงพลังที่ บก.ทบ.ทำให้บรรยากาศไม่ค่อยจะดีนัก

ครั้งเดียวก็เกินพอ...ขอทีเถอะ!!!

"ลิขิต จงสกุล"