เพลิงนรกไหม้โกดังเก็บไม้ย่านบางโพ แหล่งขายไม้เก่าแก่และใหญ่ที่สุดในกรุงเทพฯ รถดับเพลิงกว่า 20 คันรีบเข้าระงับเหตุกว่า 2 ชม. จึงสงบ เผาผลาญโกดังเก็บไม้เสียหายยับ 4 โรง รอดแค่ 1 ค่าเสียหายยังประเมินไม่ได้ แต่โชคดีมีประกันภัยทั้งหมด ก่อนเกิดเหตุพยานได้ยินเสียงระเบิด คาดว่ามาจากหม้อแปลงในโรงงาน หลังจากนั้นไฟลุกไหม้อย่างรวดเร็วเพราะมีไม้เป็นเชื้อเพลิงอย่างดี ทำคนงานไร้ที่อยู่อาศัยหลายสิบครอบครัว ตำรวจประสาน พฐ.ตรวจสอบจุดต้นเพลิงและสาเหตุที่แท้จริง

เพลิงไหม้โกดังเก็บไม้ครั้งใหญ่รายนี้ เปิดเผยขึ้นเมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 18 ม.ค. ร.ต.อ.ชัชวาลย์ นิยมชาติ รอง สว.(สอบสวน) สน.บางโพ รับแจ้งเหตุเพลิงไหม้โกดังเก็บไม้ภายในซอยประชาราษฎร์สาย 1 แยก 23 แขวงบางซื่อ เขตบางซื่อ กทม. ซึ่งเป็นแหล่งขายไม้เก่าแก่และใหญ่ที่สุดในกรุงเทพฯ ประสานหน่วยดับเพลิงระงับเหตุ และรายงานผู้บังคับบัญชาร่วมตรวจสอบ ประกอบด้วย พ.ต.อ.สันทัด ลยางกูร รอง ผบก.น.1 พ.ต.อ.อภิชัย หวลจิตต์ ผกก.สน.บางโพ นายเจษฎา ประภาสะวัต ผู้อำนวยการเขตบางซื่อ และนายสุริยชัย รวิวรรณ ผู้อำนวยการสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (สปภ.) พร้อมประสานรถน้ำดับเพลิงกว่า 20 คัน และอาสามูลนิธิร่วมกตัญญู

ที่เกิดเหตุอยู่สุดถนนประชาราษฎร์สาย 1 แยกซอย 23 เป็นซอยแคบ ทำให้รถน้ำขนาดใหญ่เข้าพื้นที่อย่างทุลักทุเล จุดเกิดเหตุลักษณะเป็นโกดังขนาดใหญ่ปลูกติดกัน 5 หลัง เนื้อที่ประมาณ 5 ไร่ พบแสงเพลิงและกลุ่มควันพวยพุ่งออกมาจากโรงเลื่อยจักร์ ฮะเชียงหลี จำกัด เลขที่ 797 เปิดเป็นร้านจำหน่ายไม้แปรรูป และน้ำยาเคลือบไม้ ลักษณะเป็นโกดัง 2 ชั้น ด้านหน้าเป็นอาคารสำนักงาน ก่อนลุกลามไปโกดังข้างเคียงรวม 4 หลัง ประกอบด้วยบริษัท มาสเตอร์คูล อินเตอร์เนชั่นเเนล จำกัด (มหาชน) เลขที่ 795 ห้างหุ้นส่วนจำกัดบ้วนเซ่งไถ่ เลขที่ 799 ห้างหุ้นส่วนจำกัดโรงเลื่อยจักรฮะเชียง เลขที่ 801 และซำเฮงล้งโรงเลื่อยจักร เลขที่ 805

...

เจ้าหน้าที่ดับเพลิงต้องระดมฉีดน้ำสกัดเพลิงอย่างโกลาหล เนื่องจากเป็นโกดังเก็บไม้ที่เป็นเชื้อเพลิงเป็นอย่างดี และมีบางส่วนต้องเสี่ยงภัยเข้าไปตรวจสอบด้านใน เพราะเบื้องต้นชาวบ้านแจ้งว่ามีคนในครอบครัวติดอยู่ภายใน 3 คน แต่ตรวจแล้วไม่พบต้องกลับออกมา ใช้เวลา 2 ชั่วโมงถึงสามารถควบคุมเพลิงไว้ได้ สรุปเพลิงลุกไหม้โกดังเสียหายทั้งหมด 4 หลัง ส่วนโรงเลื่อยจักรซำเฮงล้งได้รับความเสียหายเพียงเล็กน้อย เข้าไปตรวจสอบภายในไม่พบผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต เนื่องจากมีผู้ช่วยเหลือผู้ที่คาดว่าจะติดอยู่ภายในทั้ง 3 คนออกมาได้ก่อนแล้ว แต่การประสานงานผิดพลาดจึงคิดว่ายังมีคนติดอยู่ สรุปไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บจากเพลิงไหม้ครั้งนี้

สอบสวนนายไพฑูรย์ เศรษฐโถ อายุ 60 ปี หัวหน้าคนงาน หจก.บ้วนเซ่งไถ่ เผยว่า ขณะตนกำลังทำงานได้ยินเสียงระเบิดดังขึ้นในโรงเลื่อยจักรฮะเชียงหลี ซึ่งเป็นโกดังเก็บไม้แปรรูปและน้ำยาเคลือบไม้ชนิดต่างๆ สักพักเกิดกลุ่มควันขึ้นจึงปีนขึ้นไปดูบนชั้น 2 เห็นเพลิงกำลังลุกไหม้ใกล้กับเบรกเกอร์ไฟฟ้าซึ่งอยู่ด้านในสุดของโกดังใกล้กับกองไม้ รีบนำถังดับเพลิงวิ่งไปด้านหน้าโกดังเพื่อเข้าไปช่วยดับไฟ แต่ไม่สามารถเปิดประตูโกดังได้เนื่องจากเป็นวันหยุด ไม่มีคนอยู่ภายในบริษัท เพลิงจึงลุกลามอย่างรวดเร็ว เพราะโกดังทั้งหมดมีหลังคาผืนเดียวกัน หากตนเปิดประตูเข้าไปได้ตั้งแต่แรกอาจสกัดเพลิงไม่ให้ลุกลามจนเสียหายขนาดนี้ก็เป็นได้

“นอกจากนี้โกดังทุกหลัง บริษัททุกแห่งที่เกิดเหตุทำประกันภัยไว้หมดแล้ว แต่ไม่ทราบว่าวงเงินมากน้อยแค่ไหน เพราะถือเป็นจุดเสี่ยงเวลาเกิดเพลิงไหม้ เพราะมีไม้เป็นเชื้อเพลิงเป็นอย่างดี” นายไพฑูรย์กล่าว

ด้านนายเจษฎา ประภาสะวัต ผอ.เขตบางซื่อ กล่าวว่า เบื้องต้นทราบว่าคนงานที่อยู่ในโกดังที่เกิดเหตุทั้งหมดมีหลายสิบครอบครัว และบ้านเรือนประชาชนได้รับความเดือดร้อน ส่วนเด็กที่คาดว่าติดอยู่ภายใน 3 คน เจ้าหน้าที่สามารถช่วยเหลือออกมาได้อย่างปลอดภัย ส่วนที่เป็นโกดัง 2 ชั้น เสียหายทั้งหมด ส่วนอาคารสำนักงานด้านหน้ามีทั้ง 2 และ 3 ชั้นเสียหายเล็กน้อย ต้องให้วิศวกรเข้าตรวจสอบโครงสร้างอีกครั้งว่า ความร้อนทำให้กระทบกับโครงสร้างหรือไม่ ตนสั่งการให้เจ้าหน้าที่สำนักงานเขตบางซื่อตั้งศูนย์พักพิงชั่วคราวให้คนงานที่ได้รับความเดือดร้อนจากเหตุเพลิงไหม้ภายในวัดอนัมนิกายาราม (วัดญวนบางโพ) และจะหาทางช่วยเหลือเยียวยาด้านอื่นต่อไป

ส่วน พ.ต.อ.อภิชัย หวลจิตต์ ผกก.สน.บางโพ กล่าวว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการสอบสวนเพื่อหาจุดต้นเพลิง ส่งชุดสืบสวนตรวจสอบกล้องวงจรปิดภายในโกดังทุกหลัง นอกจากนี้ยังระดมพนักงานสอบสวนสอบปากคำพยานที่อยู่ในบริเวณที่เกิดเหตุเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริง หลังจากนี้จะประสานเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน (พฐ.) เข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุ
หาจุดต้นเพลิงและสาเหตุการเกิดเพลิงไหม้ที่แท้จริงอีกครั้ง เบื้องต้นยังไม่ได้กล่าวหาหรือแจ้งข้อหาใคร ต้องรอให้การสอบสวนเสร็จสิ้นก่อน

อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่