“ศาสนทายาท” คือผู้ที่สืบทอดพระพุทธศาสนาตามที่พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ว่าเป็นพุทธบริษัท 4 คือ...ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาแต่มาในปัจจุบัน “ภิกษุณี” ก็ไม่มีแล้วเมื่อถือตามพุทธบัญญัติและคณะสงฆ์ไทยก็ถือว่าบุคคลดังกล่าวไม่มีตามหลักการปกครองของคณะสงฆ์ไทย จึงเหลือเพียง 3 บริษัทเท่านั้น ซึ่ง “สามเณร” ถือว่า “เป็นเหล่ากอของสมณะ” จึงเป็นนักบวชในพระพุทธศาสนาที่มีอายุน้อยที่สุดส่วนมากการบรรพชาเป็นสามเณรนั้นนิยมตามประเพณีไทยก็คืออายุ 7 ปีขึ้นไปจนถึงอายุ 20 ปีเต็มจึงจะสามารถ “อุปสมบท” เป็น “พระภิกษุ” ในพระพุทธศาสนาที่ถูกต้องตามพระธรรมวินัยได้ เมื่อมาถึงยุคสมัยปัจจุบัน “ศาสนทายาท” จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อพระพุทธศาสนาเราท่านคงได้ทราบข่าวผ่านสื่อมวลชนกันไปแล้วว่าได้มีสามเณรรูปหนึ่งที่มีอายุเพียง 10 ปีก็สามารถสอบได้เปรียญธรรม 3 ประโยค จนเรียกว่า “มหา” กันแล้ว นับว่าเป็นข่าวที่สร้างความสุขและความภาคภูมิใจให้กับชาวพุทธอย่างยิ่ง หน่ออ่อนของพระพุทธศาสนาในสังคมไทยได้เกิดขึ้นเป็น “เพชรเม็ดงาม” พระมหาสมัย จินฺตโฆสโกเด็กที่มีอายุเพียงไม่กี่ปีที่อยู่ระหว่างการศึกษาเล่าเรียนระดับประถมศึกษาปีที่ 4 หรือ 5 เท่านั้นก็สามารถกลายเป็น “มหาเปรียญ” ได้ ลูกชาวบ้านได้มีภูมิธรรมความรู้ทางพระธรรมวินัยจนสามารถสอบได้ถึงเปรียญธรรม 3 ประโยคกันแล้ว ถ้าทุกอย่างได้เป็นไปตามลำดับโดยที่ไม่มีข้อผิดพลาดหรือไม่มีมารผจญ...พระมหาสมัย จินฺตโฆสโก ประธานมูลนิธิกลุ่มแสงเทียน เจ้าอาวาสวัดบางไส้ไก่ กทม. บอกว่า เราอาจจะได้ทราบข่าวว่าสามเณรที่มีอายุเพียง 16 ปี ก็สามารถเรียนจบเปรียญธรรม 9 ประโยค เป็นสามเณรรูปแรกและครั้งแรกในวงการทางการศึกษาของคณะสงฆ์ไทย กาลเวลาเท่านั้นจะเป็นเครื่องพิสูจน์กันอาตมาก็คงได้เพียง “อนุโมทนา” เท่านั้นเพราะคงไม่มีอายุยืนยาวจนกว่าจะถึงวันแห่งความสำเร็จทางการศึกษาด้านพระธรรมวินัยสูงสุดของ “สามเณรน้อย” รูปนั้นการศึกษาเล่าเรียนสายปริยัติธรรมคือเปรียญธรรมนั้น เป็นวิชาที่ยากมาก ผู้เรียนต้องมีความตั้งใจมีความมุ่งมั่นสูงผนวกกับมีความเพียรพยายามจึงจะสามารถไปถึงฝั่งแห่งความสำเร็จได้ ความเฉลียวฉลาดทางสติปัญญาอย่างเดียวคงไม่เพียงพอ คนโบราณจึงมีความเชื่อเรื่องของ “บุญนำพาวาสนาส่ง” ผสมเข้าไปด้วย คำว่า “สามเณรเปรียญ” หรือคำว่า “มหาเปรียญ” จึงจะเกิดขึ้นกับนักบวชรูปนั้นได้ดังนั้นความรักความศรัทธาจึงเป็นจุดเริ่มต้นของการศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัยของพระพุทธองค์ นอกจากนั้นการมีชีวิตอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดีล้วนแต่จะก่อให้เกิด “สติปัญญา” ก็มีส่วนสำคัญสามเณรตัวน้อยๆที่ไร้เดียงสาซึ่งเป็นลูกหลานของชาวบ้านที่ต้องพลัดพรากจากอ้อมอกของพ่อและแม่ซึ่งเป็นผู้ให้กำเนิดแล้วมาอยู่ภายในวัดที่เต็มไปด้วยความรักความอบอุ่นที่เกิดขึ้นจาก “ความเมตตาปรานีของเจ้าอาวาสหรือเจ้าสำนักเรียน” ได้ก่อให้เกิดเป็น “ประกาย” ให้สามเณรใฝ่ดีรักการเรียนรู้มากขึ้นเพื่อนๆที่เป็นสามเณรตัวน้อยที่ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันต่างก็มีแต่ความสุขได้สัมผัสแต่สิ่งที่ดีงามภายในวัด จนสามเณรนั้นมีความนิ่งทางจิตใจจนอยากจะเรียน “ธรรมะ” เราจึงได้พบเห็นสิ่งที่ดีงามและเลอเลิศอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ขอให้ช่วยกันต่อยอด...ส่งเสริมให้เกิดแรงบันดาลใจแก่น้องสามเณรหรือลูกสามเณรรูปอื่นๆต่อไป สังคมไทยหรือสังคมชาวพุทธจะได้มี “ศาสนทายาท” ที่ดีและมีคุณภาพจนกลายเป็นผู้สืบทอดพระพุทธศาสนาต่อไปในภายภาคหน้า“สิ่งที่ดีเมื่อเกิดขึ้นมาแล้วเช่นนี้ ขออย่าได้ตื่นเต้นหรืออัศจรรย์จนเกินไป ขอให้คอยดูแลคอยให้กำลังใจเว้นอยู่ในระยะห่าง อย่าได้เข้าไปแสดงตนใกล้ชิด อย่าได้ไปแสดงตนถึงความเป็นเจ้าของหรือหาผล ประโยชน์จากความสำเร็จนั้นใดๆทั้งสิ้น มิเช่นนั้นก็จะกลายเป็นการเข้าไปทำลายชีวิตและอนาคตของสามเณร”ขอจงใช้จิต “อนุโมทนา” ร่วมเป็นสิ่งที่ดีที่สุดหรือพอจะมีศรัทธาแล้วเข้าไปช่วยเหลือสนับสนุนอุปถัมภ์ค้ำจุนพระภิกษุสามเณรในอาวาสนั้นที่กำลังศึกษาเล่าเรียนอยู่ก็จะเป็นผลดีต่อพระพุทธศาสนาอย่างยิ่ง แต่ขออย่าไป “ก้าวก่าย” เพราะจะเป็นการ “ครอบงำ” ไปในที่สุด ซึ่งไม่เป็นผลดีโดยส่วนรวมพระมหาสมัย ย้ำว่า ทุกวันนี้ลูกหลานของชาวบ้านที่จะเข้าบรรพชาเป็นสามเณรหรืออุปสมบทเป็นพระภิกษุเข้ามาในพระพุทธศาสนาได้มีจำนวนลดน้อยถอยลงไปเป็นจำนวนมาก อาจจะเนื่องมาจากสังคมได้เปลี่ยนแปลงไป วิถีชีวิตของผู้คนห่างเหินวัดวาศาสนามากขึ้น ความเชื่อในเรื่องบาปบุญคุณโทษมีลดน้อยถอยลงอีกทั้งรูปแบบทางเลือกของ “การศึกษาเด็ก” ซึ่งเป็นลูกหลานของชาวบ้านมีมากขึ้นหรือมีทางเลือกมากขึ้นไม่เหมือนกับสมัยในอดีต ก่อนหน้านั้นเราเคยเห็นเด็กที่บรรพชามาเป็นสามเณรหรือผู้ที่อุปสมบทมาเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา ส่วนหนึ่งมาจาก “ลูกหลานของชาวบ้านที่เป็นคนยากคนจนหรือผู้ด้อยโอกาสในสังคม” ที่ไม่มีโอกาสได้เรียนหนังสือเพราะครอบครัวยากจนหรือด้อยโอกาสทางเลือกให้กับอนาคตที่น่าจะทำได้คือหันหน้าเข้าสู่ร่มเงาผ้ากาสาวพัสตร์ได้มีโอกาสศึกษาเล่าเรียนนักธรรมเรียนบาลีและเรียนสายสามัญเรียกชื่อให้ถูกต้องตามหลักวิชาการคือได้เรียนสายปริยัติธรรมและสายสามัญศึกษาจนถึงระดับปริญญาเป็นที่สุด นั่นคือภาพในอดีต วัดจึงได้กลายเป็นที่พึ่ง...เป็นเนื้อนาบุญของชาวบ้านมาบัดนี้ภาพการณ์ได้เปลี่ยนไป จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่เจ้าอาวาสหรือเจ้าสำนักเรียนในวัดวาอารามต่างๆ จะได้ฉุกคิดและตระหนักให้มากว่าจะต้องปรับปรุงเปลี่ยนแปลงและพัฒนาการศึกษาลูกหลานชาวบ้านให้ “เท่าทันโลกหรือล้ำโลก” ที่ยังต้องสอดคล้องกับพระธรรมวินัยขอจงนำเอากรณีสามเณรน้อยรูปนี้ เป็นแรงผลักดันถึงแม้ว่า “ศาสนทายาท” มีจำนวนน้อยแต่ถ้ามีคุณภาพก็สามารถกลายเป็น “พลัง” ที่ยิ่งใหญ่ทำให้พระพุทธศาสนาของเราได้ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมอย่างมหาศาล ยิ่งในปัจจุบันนี้สังคมต้องการ “ธรรมะ” ไปแก้ไขปัญหาชีวิตชาวบ้านและการอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างมากเราในฐานะ “ชาวพุทธ” จึงขอจงช่วยกันสร้างสิ่งที่ก่อให้เกิดความศรัทธาความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนายิ่งขึ้น พระพุทธศาสนาจะมั่นคงจะยั่งยืนจนตกถึงอนุชนรุ่นหลังก็เพราะ “พุทธบริษัท 4” นี่เอง “ขอเป็นกำลังใจให้กับพระสังฆาธิการเจ้าอาวาสและสำนักเรียนที่ได้สร้างสรรค์ ก่อให้เกิดสิ่งที่ดีงามขึ้นมาภายในวัดเช่นนี้ ขอจงช่วยกันผลักดันสนับสนุนให้สามเณรตัวน้อยๆ...พระภิกษุในวัดในสำนักเรียนเหล่านี้ได้เจริญเติบโตขึ้นมาภายใต้ความรักความอบอุ่น ความสุขความปลอดภัยแทนครอบครัวของชาวบ้าน”“เด็ก” ที่มาเป็น “สามเณร” ในวันนี้คือผู้ที่จะเป็นทายาทที่ดีของพระพุทธศาสนา ขอจงส่งเสริมสนับสนุนให้เกิดมีมากขึ้นทุกหนแห่งในวัดวาอารามต่างๆช่วยกันทำนุบำรุงให้เกิดสิ่งที่ดีงามขึ้นมาตามกำลังศรัทธารวมถึงขอให้เป็นไปอย่างสม่ำเสมออย่าให้เป็น “ไฟไหม้ฟางหรือคลื่นกระทบฝั่ง” ก็แล้วกันในพรรษานี้...เพชรเม็ดงามหรือศาสนทายาทที่ดีของพระพุทธ ศาสนาได้เกิดขึ้นมาแล้ว ชาวพุทธจึงควรเข้าไปให้ความอุปถัมภ์ค้ำจุนให้เกิดแต่สิ่งที่ดีเช่นนี้ให้มีขึ้นมาหลายๆวัดหรือหลายๆสำนักเรียน สิ่งที่ดีจะติดตามมา “บุญกุศล”...จะเกิดขึ้นกับตัวเราและครอบครัวของเรา.คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม