ศาลลงทัณฑ์ตัดสินประหารชีวิต “ผู้กำกับโจ้” พร้อมพวกรวม 6 คน ตามอัยการฟ้องให้ลงโทษสูงสุด แต่มีเหตุบรรเทาโทษ 1 ใน 3 เหลือจำคุกตลอดชีวิต ส่วนตำรวจอีกคนที่อยู่ในที่เกิดเหตุ แต่ไม่อยู่ช่วงทำร้ายร่างกายผู้ต้องหาจนเสียชีวิต ตัดสินจำคุก 8 ปี ลดเหลือ 5 ปี 4 เดือน พ่อเหยื่อพอใจคำพิพากษา อุทธรณ์หรือไม่ต้องปรึกษาทนายก่อน แต่แม่อยากให้ลงโทษประหารชีวิต ส่วนการขอสินไหมทดแทนศาลยกคำร้อง ชี้ไม่สามารถฟ้องผู้ต้องหาที่เป็นเจ้าพนักงานได้ ต้องไปฟ้องเอากับสำนักงานตำรวจแห่งชาติต้นสังกัดแทน

...


ศาลตัดสินคดี พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล หรือ “ผกก.โจ้” อดีต ผกก.สภ.เมืองนครสวรรค์ เปิดเผยขึ้น เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 8 มิ.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศหน้าศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ก่อนศาลอ่านคำพิพากษาคดีอัยการสูงสุด สั่งฟ้อง พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล กับพวก รวม 7 คน ฐานร่วมกันฆ่านายจิระพงศ์ ธนะพัฒน์ หรือมาวิน อายุ 24 ปี ผู้ต้องหา ด้วยการซ้อมและใช้ถุงดำคลุม ศีรษะจนขาดอากาศหายใจอย่างทารุณ อัยการยื่นฟ้อง คดีอัตราโทษประหารสถานเดียว ตั้งแต่ช่วงเช้ามีสื่อมวลชนจำนวนมากเดินทางมาลงทะเบียนทำเรื่องขออนุญาตบันทึกภาพและรายงานเหตุการณ์ ขณะที่ ร.ต.จักรกฤษ กลั่นดี อายุ 58 ปี พ่อเหยื่อ เดินทางมาศาล เผยว่า วันนี้เดินทางมาพร้อมกับนางจันจิรา ธนะพัฒน์ อายุ 55 ปี ภรรยา และน้องใบเฟิร์น แฟนลูกชายที่เสียชีวิต การต่อสู้คดีระยะเวลาเกือบ 1 ปีตนทำเต็มที่ สู้ตามความเป็นจริงในคลิปที่ทุกฝ่ายเห็น แม้ผู้ต้องหาจะอ้างว่าปฏิบัติตามหน้าที่ไม่ได้ตั้งใจ เจตนาทำให้ลูกชายเสียชีวิต แต่เรื่องศักดิ์ศรีความเป็น มนุษย์ทุกคนที่เห็นภาพน่าจะทราบข้อเท็จจริงทั้งหมด

ร.ต.จักรกฤษกล่าวอีกว่า ทุกวันนี้ภาพจำสุดท้าย ของตนคือ ภาพวันที่ลูกถูกจับเดินออกจากบ้านแล้วไม่ได้กลับมาอีกเลย ได้แต่สวดมนต์ไหว้พระทำจิตใจให้สงบ เพราะบางทียังนอนไม่หลับ เนื่องจากเมื่อคิดถึงภาพตามคลิปเหตุการณ์ครั้งใดก็ไม่สบายใจ ที่ลูกถูกกระทำอย่างรุนแรงขนาดนี้ ส่วนแนวทางการ ต่อสู้และเรียกร้องค่าเสียหายตอนนี้เรียกร้องเกี่ยวกับ เรื่องค่าเลี้ยงดูตนและภรรยาเป็นเวลา 10 ปี วงเงินประมาณ 1.5 ล้านบาท ฝ่ายผู้ต้องหาวางเงินเอาไว้ส่วน หนึ่งแล้ว แต่ท้ายที่สุดศาลจะตัดสินอย่างไรอยู่ที่ดุลพินิจ จะได้เงินครบตามที่เรียกร้องหรือไม่ต้องปรึกษาทนายความอีกครั้งว่าจะยื่นอุทธรณ์ด้วยหรือไม่ เพราะ ต้องบอกตามตรงว่ารู้สึกเหนื่อยกับการต่อสู้มากแล้ว

ต่อมาเวลา 09.30 น. ตามนัดหมาย ปรากฏว่า ไม่มีรถควบคุมผู้ต้องขังจากเรือนจำพา พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล กับพวก รวม 7 คน เดินทางมาที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง สอบถามเจ้าหน้าที่ทราบว่าวันนี้จะไม่มีการเบิกตัวผู้ต้องขังเดินทางมาศาล จะนัดฟังคำพิพากษาผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ จากนั้น ครอบครัวผู้ตายจึงลงทะเบียนทำเรื่องเข้ารับฟังคำพิพากษาผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ด้วย

ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง มีคำพิพากษาคดีอาญาหมายเลขดำ ที่อัยการฝ่ายคดีอาญาทุจริต 3 เป็นโจทก์ นางจันจิรา ธนะพัฒน์ โจทก์ร่วมที่ 1 นาย หรือ ร.ต.จักรกฤษ กลั่นดี โจทก์ ร่วมที่ 2 แม่และพ่อนายมาวินผู้ตายร่วมเป็นโจทก์ฟ้อง พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล หรือ ผกก.โจ้ อดีต ผกก.สภ.เมืองนครสวรค์ พ.ต.ต.รวีโรจน์ ดิษทอง สว.สส. ร.ต.อ.ทรงยศ คล้ายนาค รอง สวป. ร.ต.ท.ธรณินทร์ มาศวรรณา รอง สวป. ด.ต.วิสุทธิ์ บุญเขียว ผบ.หมู่ ป. ด.ต.ศุภากร นิ่มชื่น ผบ.หมู่ ป. และ ส.ต.ต.ปวีณ์กร คำมาเร็ว ผบ.หมู่ ป. เป็นจำเลยที่ 1-7 ตามลำดับ ฐานเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ร่วมกันข่มขืนใจโดยใช้กำลังประทุษร้าย ฆ่าผู้อื่นโดยทารุณโหดร้าย และตาม พ.ร.ป.ป.ป.ช. ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ร่วม 1.5 ล้านบาทเศษ

อัยการฟ้องว่า วันที่ 4-5 ส.ค.64 พวกจำเลย เป็นตำรวจ สืบสวนทราบว่า นายจิระพงษ์ หรือมาวิน ธนะพัฒน์ ผู้เสียชีวิตเกี่ยวข้องกับยาเสพติด วางแผนล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนกับยาไอซ์ จนถูกจับควบคุมไว้ในห้องเลขที่ 05 ศูนย์ปฏิบัติการปราบปรามยาเสพติด จากนั้นใช้ถุงพลาสติกครอบศีรษะและเสียชีวิต ศาลไต่สวนชันสูตรพลิกศพระบุว่า ถูกพวกจำเลยฆ่าตายขณะอยู่ในความควบคุมที่ สภ.เมืองนครสวรรค์ อัยการ สูงสุดฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 รับสารภาพข้อหาความผิดของเจ้าพนักงานและข่มขืนใจฯ แต่ปฏิเสธคดีฆ่า จำเลยอื่นปฏิเสธฟ้องทุกข้อ

...

วันนี้ศาลใช้วิธีวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ไปยังเรือนจำ กลางคลองเปรม พ.ต.อ.โจ้นั่งหัวแถว ตัดผมรองทรง ส่วนจำเลยอื่นตัดทรงเกรียน ผกก.โจ้ดูไม่มีสมาธิ ก่อนอ่านคำพิพากษาขออนุญาตศาลและพนมมือไหว้ กล่าวว่า “ขอโทษทุกคน ขอให้เข้าใจในสิ่งที่ผมทำ” และท้วงติงว่า ทนายความของตนไม่แถลงอะไรให้เลย เกี่ยวกับการบรรเทาผลร้าย ศาลเปิดสำนวนพลิกดู แล้วบอก ผกก.โจ้ว่า ทนายจำเลยทำคำแถลงปิดคดีหนา 450 หน้า ถึงประวัติการทำคุณงามความดีและ ผลงานต่างๆตลอดจนการทำบันทึกชดใช้ค่าเสียหายมาแล้ว ศาลตรวจดูแล้ว ผกก.โจ้สงบลง

ศาลอ่านคำพิพากษาใจความว่า ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยที่ 1-7 กับพวกตำรวจ รวม 13 คน ล่อซื้อจับกุมนายจิระพงษ์ หรือมาวิน คดียาไอซ์หนัก 300 กรัม จากนั้นตำรวจมีเพียงจำเลยที่ 1-5 และ 7 นำตัวผู้ตายมาสอบสวนเพื่อขยายผลจับกุมยาเสพติดที่ห้องปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด มีจำเลยที่ 6 นั่งอยู่ก่อนแล้วเดินออกไปช่วงประทุษร้าย ไม่ทราบว่ามีตำรวจนายหนึ่งติดตั้งทีวีวงจรปิดไว้ โจทก์นำมาเปิดในห้องพิจารณา เมื่อศาลเปิดภาพเคลื่อนไหวจากกล้องวงจรปิดจำเลยทั้ง 7 ยอมรับว่า เป็นบุคคลในภาพ
ข้อเท็จจริงฟังยุติว่า วันที่ 5 ส.ค.2564 ระหว่างเวลา 13.00-13.14 น. หลังนายมาวินถูกจับบริเวณหน้าร้านเซเว่นอีเลฟเว่น อ.เมืองนครสวรรค์ นำตัวไป ขยายผลค้นบ้าน ร.ต.จักรกฤษ กลั่นดี บิดา แต่ไม่พบ อะไร ต่อมานายมาวินถูกคลุมด้วยถุงดำเข้ามาในห้อง 05 ไม่ใช่สถานที่ทำการของพนักงานสอบสวน

จำเลยที่ 1 ใช้ถุงดำคลุมศีรษะผู้ตายทีละใบจนครบ 7 ใบ จำเลยอื่นผลัดกันทำร้าย กดทับ จับใส่กุญแจมือด้านหน้าแล้วย้ายมาด้านหลัง ผู้ตายร้อง พวกจำเลย ใช้เข่าทับร่างเพื่อมิให้ดิ้นรนขัดขืนและใส่กุญแจมือที่เท้า เพื่อบังคับให้บอกข้อมูลซุกซ่อนยาเสพติด จำเลยที่ 1 ข่มขู่ว่า “กูให้โอกาสมึง บอกกูมาดีๆ” เมื่อผู้ตายไม่ยอมพูด จำเลยก็กดทับพูดว่า “มึงจะเอาอย่างนี้ใช่ไหม กูเอามึงยันตาย” จนผู้ตายส่งเสียงร้อง สุดท้ายเวลา 13.19 น. และพลัดตกเก้าอี้หมดสติอยู่ ที่พื้น จำเลยพูดว่า “กูจะให้ยึดทรัพย์พ่อแม่มึงให้หมด” จนเวลา 13.22 น. นายมาวินนิ่งไป จำเลยที่ 1 กับพวก เอาน้ำราดแต่ไม่ฟื้น ฉีกถุงออกและตบหน้าก็ยังนิ่ง ช่วยกันปั๊มหัวใจ ตรวจชีพจร แต่พบว่าผู้ตายหมดสติแล้ว พาส่งโรงพยาบาลพริ้นซ์ปากน้ำโพ แพทย์ช่วยเหลือจนกู้สัญญาณชีพกลับมาได้ แต่ยังอยู่ในภาวะวิกฤติ ส่งต่อ รพ.สวรรค์ประชารักษ์ จนเสียชีวิต จำเลยให้การต่อสู้ว่า ทำไปเพราะต้องการขยายผล จับกุมยาเสพติด ตัวจำเลยเองเสพยาวันละ 20 เม็ด สูบบุหรี่วันละ 2 ซอง ทำให้ช็อกเพราะยาเสพติดเห็นว่า การที่จำเลย 1 2 3 4 5 และ 7 ใช้ถุงดำคลุมหัวผู้ตาย ย่อมเล็งเห็นผลว่าผู้ตายอาจขาดอากาศหายใจ และรายงานแพทย์ของ รพ.สวรรค์ประชารักษ์ บอกว่า การรัดคอทำให้สมองขาดเลือด ตับ ไต เสียหาย เลือดเป็นกรด การตายเป็นผลโดยตรง จากการถูกคลุมศีรษะด้วยถุงพลาสติกจนขาดอากาศหายใจ จำเลยต้องรับผิดในผลนั้น

...

พิพากษาว่า จำเลยที่ 1-5 และ 7 ผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ฐานร่วมกันกระทำผิดตั้งแต่ 5 คนขึ้นไปข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยทารุณโหดร้ายเป็นกรรมเดียว ลงโทษบทหนักสุดให้ประหารชีวิต ส่วนการกระทําความผิดของจำเลยที่ 6 ฐานเป็นเจ้าพนักงานร่วมกัน ปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และข่มขืนใจผู้อื่น จำคุก 8 ปี ไม่ผิดฐานฆ่าโดยทารุณโหดร้าย

พวกจำเลยรับข้อเท็จจริงบางส่วน หลังเกิดเหตุ จำเลยทั้ง 7 พยายามช่วยเหลือผู้ตายโดยช่วยปั๊มหัวใจ ผู้ตาย และรีบนำตัวส่งโรงพยาบาลจนแพทย์ช่วยรักษา ผู้ตายมีสัญญาณชีพและหัวใจกลับมาเต้นก่อนถึงแก่ความตายในเวลาต่อมา รู้สึกความผิดช่วยค่าปลงศพผู้ตายเป็นเงิน 30,000 บาท และวางเงินบรรเทาผลร้าย ให้แก่โจทก์ร่วมทั้ง 2 คน คนละ 300,000 บาท นับเป็น เหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ถึง 5 และ 7 ตลอดชีวิต ส่วนจำเลยที่ 6 คงจำคุกเหลือ 5 ปี 4 เดือน

ส่วนคำร้องขอให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 44/1 เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 กับพวก ร่วมกันกระทำความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้ตาย โดยกระทำ ทรมาน หรือโดยทารุณโหดร้าย จึงเป็นการละเมิด แต่เมื่อจำเลยทั้ง 7 เป็นเจ้าพนักงาน พระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539 มาตรา 5 และ 9 บัญญัติว่า หน่วยงานของรัฐต้องรับผิดต่อผู้เสียหาย ในผลแห่งละเมิดของเจ้าหน้าที่ของตนที่กระทำในการปฏิบัติหน้าที่ กรณีนี้ผู้เสียหายอาจฟ้องหน่วยงานของรัฐดังกล่าวโดยตรง แต่จะฟ้อง เจ้าหน้าที่ไม่ได้ ศาลยกคำร้องส่วนนี้ ทั้งนี้ การยกคำร้อง ดังกล่าว มิได้ตัดสิทธิการเรียกร้องค่าสินไหมของโจทก์ ร่วมทั้งสอง แต่โจทก์ร่วมต้องไปดำเนินการเรียกเอากับ หน่วยงานของรัฐที่จำเลยทั้ง 7 สังกัดอยู่ต่อไป

...

ภายหลังศาลอ่านคำพิพากษา ร.ต.จักรกฤษณ์ กลั่นดี พ่อนายมาวินเผยว่า วันนี้ศาลอ่านคำพิจารณาละเอียดมาก ก่อนหน้านี้ตนยังไม่เห็นคลิป อดีตผู้กำกับโจ้เคยเข้ามากอดพ่อกอดแม่แล้วร้องไห้ พอได้ฟังศาลอ่านพฤติการณ์อย่างละเอียด คาดไม่ถึง ว่าจะทำขนาดนี้ ส่วนเรื่องการเรียกร้องค่าสินไหม หลังจากนี้จะไปดำเนินการฟ้องเรียกค่าเสียหายที่ศาลแพ่ง ระหว่างฟังคำพิพากษาวันนี้เห็นท่าทีของจำเลย เขาคงคิดว่าทำในสิ่งที่คิดว่าถูกแล้ว ตนเข้าใจการทำงาน แต่เมื่อพลาดพลั้งไปแล้วและมีการรวมกลุ่มกันก็น่าจะห้ามปราม ไม่ใช่ร่วมกันทำให้บอบช้ำทั้งตัว ส่วนโทษที่ศาลตัดสินในวันนี้ ตนพอใจแล้ว แต่จะอุทธรณ์หรือไม่ขอปรึกษาทนายความก่อน

ด้านนางจันทร์จิรา ธนพัฒน์ แม่นายมาวิน ระบุว่า วันนี้ตนไม่รู้ว่าจำเลยเขาสำนึกจริงหรือไม่ แต่แม่ไม่เข้าใจว่า ทำไมต้องทำให้ลูกแม่ตายแบบนี้ ส่วนตัวแม่อยากให้ลงโทษประหารชีวิตให้จำเลยเป็นไปตามลูก เพราะจากที่ฟังศาลบรรยายพฤติการณ์มันยิ่งกว่าที่ตนเคยดูคลิป ฟังแล้วรับไม่ได้ อยากให้ ประหารแลกกับชีวิตลูกตน