สาเหตุ“กรุงเทพมหานคร...เกิดน้ำท่วมซ้ำซาก” มีผลพวงจากการขยายตัวของเมืองที่เปลี่ยนแปลงใช้ประโยชน์จากที่ดิน ไม่สามารถบังคับควบคุมให้เป็นตามกฎหมายผังเมืองได้ ด้วยการถมที่ดินสร้างอาคาร หมู่บ้าน และเส้นทางระบายน้ำถูกกลบทับด้วยเส้นทางการจราจร แม้แต่คลองขนาดเล็ก ยังถูกถมหายการพัฒนาเมืองมีผลให้พื้นที่กักเก็บน้ำน้อยลง และตัดระบบระบายน้ำทั้งหมด แถมมีปัจจัยการเปลี่ยนแปลงสภาพฝนตกหนักผิดปกติ ด้วยข้อจำกัดของสภาพพื้นที่กรุงเทพฯเป็นที่ลุ่มต่ำ ในบางพื้นที่มีลักษณะเป็นแอ่งกระทะ...แบบหลุมขนมครก จนระบายน้ำเองไม่ได้ ต้องใช้วิธีสูบน้ำออกทะเล...เหตุผลของน้ำท่วมกรุงเทพฯที่หลีกเลี่ยงไม่ได้นั้น ดร.ศิริลักษณ์ ชุ่มชื่น ประธานคณะอนุกรรมการวิศวกรรมแหล่งน้ำ วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยฯ (วสท.) ให้ข้อมูลว่า สาเหตุน้ำท่วมกรุงเทพฯ มี 3 ปัจจัย คือ หนึ่ง...“น้ำเหนือ” หรือปริมาณน้ำฝนที่ตกในพื้นที่ภาคเหนือ ถือว่าเป็นน้ำภายนอกไหลเข้าสู่กรุงเทพฯ...แต่ละปีมีปริมาณน้ำแตกต่างกันออกไปเช่น ในปี 2554 เกิดพายุเข้าปกคลุมประเทศไทย 5-6 ลูก ทำให้ภาคเหนือมีมวลน้ำมหาศาล ที่จำเป็นต้องเร่งระบายน้ำลงทะเล ซึ่งมวลน้ำนี้จะระบายลงทะเลได้ ต้องผ่านกรุงเทพฯ จนเส้นทางน้ำผ่านบางพื้นที่ รวมถึงพื้นที่ในกรุงเทพฯเกิดน้ำท่วมตามมา ส่วนที่สอง...เกิดจากน้ำทะเลหนุนขึ้นสูงสุด ในช่วงปลายเดือน ต.ค.-พ.ย. ... ปัญหานี้มีการวางระบบแนวทางป้องกัน คือสร้างแนวคันกั้นน้ำคู่ขนานตลอดแนวแม่น้ำเจ้าพระยา และมีการสร้างประตูระบายน้ำเปิดปิดตามคลอง ที่เชื่อมกับแม่น้ำเจ้าพระยา ส่วนท่อระบายน้ำใช้ระบบแบบมีฝาปิดปลายท่อ เพื่อให้น้ำระบายลงแม่น้ำเจ้าพระยาทางเดียว และน้ำจะไม่สามารถไหลย้อนกลับเข้าท่อระบายได้...สาเหตุที่สาม...ปัจจัยหลักสำคัญมีตัวเลข 80-90 เปอร์เซ็นต์ ที่เกิดจากปริมาณฝนตกหนักในพื้นที่ ประกอบกับกรุงเทพฯเป็นพื้นที่ลุ่มต่ำ ซึ่งบางแห่งมีลักษณะเป็นแอ่งกระทะ ความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง 0.5 ซม.ในบางจุดมีลักษณะต่ำแบบหลุมขนมครก เช่น ย่านรามคำแหง บางกะปิ สุขุมวิท และสะพานสูง การระบายน้ำมีความจำเป็นต้องใช้ระบบสูบน้ำมาช่วยระบายลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยา หรือทะเลทว่า...ระบบระบายน้ำของกรุงเทพฯ แบ่งออกเป็น 2 ระบบ คือ ระบบที่หนึ่ง...ระบบระบายน้ำหลัก ในการระบายน้ำผ่านคลอง อุโมงค์ระบายน้ำยักษ์ 4 อุโมงค์ ในการดึงน้ำจากคลองบางจุดออกทิ้งยังแม่น้ำเจ้าพระยา คือ อุโมงค์เปรมประชากร อุโมงค์บึงมักกะสัน อุโมงค์ใต้คลองบางซื่อ อุโมงค์คลองลาดพร้าวและคลองแสนแสบมีอุโมงค์อยู่ระหว่างก่อสร้าง คือ อุโมงค์ระบายน้ำบึงหนองบอน อุโมงค์คลองเปรมประชากรจากคลองบางบัว อุโมงค์คลองแสนแสบถึงซอยลาดพร้าวอุโมงค์คลองทวีวัฒนา อุโมงค์คลองพระยาราชมนตรีระบบที่สอง... “ระบบกักเก็บน้ำแก้มลิง” สามารถดึงน้ำพักไว้ ลักษณะ 2 แบบ คือ “แก้มลิงแบบบนดิน” มี 29 แห่ง ความจุรวม 13.4 ล้าน ลบ.ม.และอยู่ระหว่างก่อสร้าง...มีบึงสาธารณะลาดพร้าว 71 แก้มลิงบึงประชานิเวศน์ แก้มลิงบึงหมู่บ้านเฟรนชิพ แก้มลิงบึงรางเข้ ถนนวงแหวนรอบนอกรองรับน้ำอีก 0.2 ล้าน ลบ.ม.และกำลังจัดหาแก้มลิงเพิ่มให้มีพื้นที่บรรจุน้ำอีก 5.7 ล้าน ลบ.ม. เพราะกรุงเทพฯต้องการแก้มลิงบรรจุน้ำทั้งหมด 19.3 ล้าน ลบ.ม.อีกแบบ “แก้มลิงใต้ดิน” หรือ “ธนาคารน้ำ” (Water Bank) มีการขุดบ่อลึกลงใต้ดินวางแท่งท่อน้ำขนาดใหญ่กักเก็บน้ำไว้ใต้ดิน ในระยะที่หนึ่งมี 4 จุด คือ...เขตบางเขน ความจุ 1,000 ลบ.ม. สวนสาธารณะถนนรัชดาภิเษกตัดถนนวิภาวดีรังสิต ความจุ 1 หมื่น ลบ.ม. ปากซอยสุทธิสาร 2 ความจุ 1,200 ลบ.ม.แยกถนนศรีนครินทร์ตัดถนนกรุงเทพกรีฑาความจุ 1 หมื่น ลบ.ม.ระยะที่สอง...มีแผนศึกษาจัดทำ “ธนาคารน้ำ” ในพื้นที่สนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่น สนามกีฬาแห่งชาติ สวนสาธารณะจตุจักร สวนป่าเบญจกิติ และยังมีระบบ Pipe Jacking วางระบบเชื่อมท่อรับน้ำจากถนนใหญ่มายังแก้มลิงใต้ดินอีก 14 จุด “แม้มีแก้มลิงบนดิน หรือแก้มลิงธนาคารน้ำทำหน้าที่กักเก็บน้ำ มีระบบน้ำสายรอง คือ ท่ออยู่ตามตรอก ซอก ซอยต่างๆ ทำหน้าที่ระบายน้ำลงคลองสายหลัก รวมถึงระบบระบายน้ำหลักผลักดันน้ำลงทะเล ทั้งหมดนี้มีศักยภาพสูง แต่ยังไม่มีการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบร่วมกัน ทำให้ยังเกิดน้ำท่วมขึ้นอยู่ตลอด...” ดร.ศิริลักษณ์ ว่าในกรุงเทพฯมีคลองใหญ่และคลองเล็ก 1,682 คลอง มีความยาวประมาณ 2,604 กม. มีท่อระบายน้ำสายหลัก 2,000 กม. สายรอง 4,400 กม. สถานีสูบน้ำ 191 แห่ง บ่อสูบน้ำ 339 แห่ง ประตูระบายน้ำ 248 แห่ง แต่รองรับปริมาณน้ำฝนประมาณ 60 มิลลิเมตร หากปริมาณฝนตกมากกว่านี้จะเกิดน้ำท่วมขึ้นทันทีปัจจุบันกรุงเทพฯมีระบบเรดาร์ ตรวจสอบกลุ่มเมฆฝน ในการคำนวณคาดการณ์การตกของฝนล่วงหน้าได้ประมาณ 2 ชั่วโมง ถือว่ามีเวลาเพียงพอกับการเตรียมความพร้อมรับมือ ทั้งการทำแผนรับมือปริมาณน้ำฝนที่จะตกลงมาสู่พื้นที่ต่างๆ การพร่องน้ำ จัดเตรียมกำลังเจ้าหน้าที่ และอุปกรณ์ต่างๆที่ผ่านมาการทำงานของเจ้าหน้าที่ยังขาดการเตรียมการล่วงหน้า ในการแก้ปัญหาน้ำท่วม ที่ต้องมีการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบร่วมกัน และครอบคลุมทั้งช่วง “ก่อนเกิดภัย ระหว่างเกิดภัย และหลังเกิดภัย” และนำเทคโนโลยีมาช่วยการบริหารจัดการน้ำท่วมอย่างบูรณาการ ที่ต้องมีระบบพยากรณ์น้ำท่วมล่วงหน้ามีการพยากรณ์ตั้งแต่ปริมาณฝน บริเวณที่ฝนจะตกล่วงหน้าว่ามีพื้นที่เสี่ยงภัยน้ำท่วมจุดใด และสามารถคำนวณปริมาณน้ำมีอยู่ที่ต้องพร่องออก ทั้งในระบบแก้มลิง ระบบคลองต่างๆ ก่อนน้ำก้อนใหม่เข้ามา ให้มีพื้นที่สามารถรองรับปริมาณน้ำฝนใหม่ มีแผนเตรียมรับมือ ทั้งอุปกรณ์ พนักงานให้พร้อมรับมือทุกด้าน...ที่ไม่ใช่ใช้คนดูท้องฟ้า และพยากรณ์เหมือนทุกวันนี้ และประชาชน ต้องมีส่วนร่วม ด้วยการไม่ทิ้งขยะลงลำคลอง เพราะขยะมักขวางทางประตูระบาย ทำให้ไม่มีน้ำไหลเข้าเครื่องสูบ เพื่อนำออกสู่ทะเลหากในระหว่าง “เกิดภัยฝนตก” ต้องบริหารจัดการระบบระบายน้ำ ทั้งระบายน้ำหลัก และระบายน้ำพร่องร่วมกัน ให้ทุกองค์ประกอบสามารถทำงานอย่างเป็นระบบ มีการนำระบบ IOT โดยใช้ Automatic Sensor เป็นตัวเซ็นเซอร์วัดระดับน้ำ ควบคู่กับเจ้าหน้าที่สามารถควบคุมการทำงานเปิด ปิด ประตูระบายน้ำ และสถานีสูบน้ำหนำซ้ำ...ระบบการระบายน้ำกรุงเทพฯ มีความละเอียดอ่อน เพราะเชื่อมระบบเข้าด้วยกันทั้งหมด หากผิดพลาดจะส่งผลให้เกิดน้ำท่วมได้ “การซ่อมบำรุง” จึงจำเป็นให้อุปกรณ์พร้อมใช้งาน เพราะมีบทเรียนมาแล้ว...เดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา ระบบไฟฟ้าสถานีระบายน้ำคลองบางซื่อขัดข้อง จนน้ำท่วมถนนวิภาวดีรังสิต...แต่ก็มองว่า...เจ้าหน้าที่มีการตรวจอุปกรณ์ระบบตลอดอยู่แล้วอาจจะติดขัดกระบวนการซ่อมแซมในเรื่องงบประมาณก็ได้ จนมีความเสี่ยงอุปกรณ์บางชนิดชำรุด หรือใช้งานไม่เต็มประสิทธิภาพ ดังนั้น ต้องซ่อมบำรุงรักษาทั้งระบบ เพื่อเกิดความมั่นใจของอุปกรณ์ เพราะเรื่องนี้มี ความสำคัญในการป้องกันน้ำท่วมหัวใจหลักสำคัญป้องกันน้ำท่วม คือ ต้องรู้จักการบริหาร นำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการทำแผนล่วงหน้า และอุปกรณ์ทุกชนิดต้องพร้อม เพื่อให้ระบายน้ำลงทะเลได้เร็ว สิ่งสำคัญประชาชนต้องไม่ทิ้งขยะลงคลอง เพราะเป็นสาเหตุขยะขวางอุดตันทางระบายออกของน้ำไปไม่ได้ในอนาคต...อาจต้องปรับปรุงกฎหมายผังเมือง ให้หน่วยงานเอกชน และประชาชน มีแก้มลิงช่วยในการหน่วงน้ำ เช่น ประเทศเนเธอร์แลนด์ ใช้พื้นที่ใต้สนามฟุตบอล สนามบาสเกตบอลของโรงเรียน รวมถึงสนามกีฬาต่างๆ เป็นแก้มลิง และรัฐบาลมอบสิทธิพิเศษเรื่องข้อยกเว้นภาษี เพราะถือว่ามีส่วนร่วมลดปัญหาน้ำท่วมและต้องเปลี่ยนความคิดใหม่ “น้ำท่วม” ไม่ใช่หน้าที่ของใคร...แต่ควรต้องร่วมด้วยช่วยกันทุกคนในการป้องกัน.