วันที่ 7 กันยายน พ.ศ.2501 หรือเมื่อ 67 ปีเศษๆโน้น...ผมเข้ามาเรียนหนังสือในกรุงเทพฯ แล้วสอบติดโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา พญาไท เรียนอยู่ห้อง 39 ตึกหนึ่ง
แม้ส่วนใหญ่ของพวกเราในห้องจะเป็นนักเรียนที่สนใจเรื่องเรียนและก็เรียนดีแทบทุกคน แต่ก็สนใจในเหตุการณ์บ้านเมืองของประเทศ ติดตามข่าวคราวจากหน้า 1 หนังสือพิมพ์อยู่เสมอๆ
ทำให้ทราบว่าหลังขึ้นปีใหม่ 2501 มาไม่นานสื่อมวลชนเขมรและรัฐบาลเขมรเริ่มลงข่าวว่าประเทศไทยของเราได้ใช้กำลังทหารเข้ายึด “ปราสาทเขาพระวิหาร” ไว้อย่างไม่ชอบธรรม โดยอ้างว่าปราสาทเขาพระวิหารเป็นของเขา เพราะดินแดนบริเวณนั้นเป็นของเขา
รัฐบาลไทยก็งงว่าอะไรกัน เพราะทางขึ้นเขาพระวิหารอยู่ทางฝั่งแผ่นดินไทยในจังหวัดศรีสะเกษ เราจึงถือว่าเขาพระวิหารเป็นของเรามาตลอด จึงส่งทหารขึ้นไปอารักขาและเปิดให้ประชาชนชาวไทยขึ้นท่องเที่ยวมาโดยตลอดเช่นกัน
จึงมีการถกเถียงอย่างรุนแรงต่างฝ่ายต่างถือแผนที่ที่แสดงกรรมสิทธิ์ของตนและไม่สามารถจะตกลงกันได้
จากนั้นก็มาถึงวันที่ 7 กันยายน พ.ศ.2501 อันเป็นวันที่คนไทยนัดไปชุมนุมที่ท้องสนามหลวงเพื่อเดินขบวนประท้วง “เจ้าสีหนุ” ผู้นำของรัฐบาลกัมพูชาในยุคนั้น
พวกเราเด็กนักเรียนเตรียมอุดมน่าจะหลายสิบคน เพราะห้องผมห้องเดียวก็ 7-8 คน เข้าไปแล้ว ต่างนัดแนะกันว่าเราจะไปร่วมเดินขบวนประท้วง “เจ้าสีหนุ” ด้วย
ปรากฏว่าในช่วงบ่ายๆวันนั้นพี่น้องประชาชนชาวไทยนิสิตนักศึกษาและนักเรียนต่างไปรวมตัวกันที่ท้องสนามหลวงแน่นขนัด ไปหมดและเดินหน้าไปสู่ทำเนียบรัฐบาล เพื่อไปให้กำลังใจแก่ รัฐบาล ในการปกป้องเขาพระวิหารและผืนแผ่นดินไทย
นับเป็นการ “เดินขบวน” ครั้งแรกในชีวิตผมและเป็นการเดิน “เพื่อชาติ” โดยแท้ไม่เกี่ยวกับการเมืองใดๆเลย
...
ตลอดเส้นทางนอกจากป้ายด่าสีหนุต่างๆ นานา ที่ผู้เดินขบวนจัดทำไปแล้ว...2 ฟากถนนราชดำเนิน ก็มีพี่น้องประชาชนชาวไทยมาชูป้ายด่า “สีหนุ” และให้กำลังใจพวกเราเต็มไปหมด
แม้ว่าต่อมาสีหนุจะนำเรื่องขึ้นฟ้องศาลโลก และศาลโลกได้ตัดสินเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2505 ด้วยคะแนนเสียง 9 ต่อ 3 ให้กัมพูชาเป็นฝ่ายชนะ ทำให้เขาพระวิหารต้องตกไปเป็นของเขมร
ช่วงนั้นผมมาเรียนที่ธรรมศาสตร์แล้ว จำได้ว่าอยู่ปี 3 พอรู้ข่าวว่าเราแพ้เขมรถึงกับร้องไห้โฮเลย ในขณะที่รัฐบาลไทยโดยนายกรัฐมนตรี จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ก็ออกมากล่าวปราศรัยกับประชาชนด้วยน้ำตาเช่นกัน
ผมเล่าเรื่องทั้งหมดนี้ก็เพื่อยืนยันว่าผมอยู่ในเหตุการณ์ที่เราต้องสูญเสียครั้งใหญ่ เมื่ออายุ 17-18 ปี ย่อมมีความเจ็บปวดและมีความจำที่ลึกซึ้งเหมือนคำอุปมาอุปไมยที่ว่า “ไม่ว่าความรักครั้งแรก หรือความเกลียดชังครั้งแรก...จะอยู่ในความทรงจำของเราไปตลอดชีวิต” นั่นเอง
และเนื่องจากความเกลียดชังครั้งแรกถึงขั้นต้องเสียน้ำตาด้วยของผมเกิดขึ้นเพราะ “เขมร” ผมจึงยัง จดจำ และไม่เคยไว้วางใจเขมรมานับแต่นั้น
ผมไม่เคยไว้วางใจผู้บริหารกัมพูชาเลย โดยเฉพาะ “นายฮุน เซน” ที่ผมมองว่า “เจ้าเล่ห์” กับประเทศไทยมาตลอด ผู้นำเขมรที่ผมเคารพและเชื่อใจได้แก่ท่านอดีตรองนายกฯ และรัฐมนตรีกลาโหม เตีย บันห์ เพียงคนเดียวเท่านั้น
แต่บัดนี้ ท่านเตีย บันห์ น่าจะไม่มีอำนาจวาสนาใดๆ ที่จะคานนายฮุน เซน กับลูกชายแล้วกระมัง แม้ลูกชายท่านเตีย บันห์จะยังมาดำรงตำแหน่งรองนายกฯและ รมว.กลาโหมอยู่ก็ตาม
ผมจึงเห็นด้วยกับ คุณสุทธิชัย หยุ่น กับ “หม่อมปลื้ม” ม.ล.ณัฏฐกรณ์ เทวกุล กับ วาสนา นาน่วม และกับอาจารย์รัฐศาสตร์อีกหลายๆท่านที่บอกว่าเราต้องเล่น “ไม้แข็ง” กับเขมรกับฮุน เซน กับฮุน มาเนต บ้าง...พูดแรงมาก็แรงตอบ
ไม่ใช่จะท้ารบหรือท้าต่อยแต่เพื่อแสดงให้เห็นว่าเรามิได้กลัวเขา...และเราก็ไม่ใช่เพื่อนสนิทเขา อย่ามาขึ้นเสียงกับเราและต้องให้เกียรติเรา...ก็เท่านั้นเอง!
“ซูม”
คลิกอ่านคอลัมน์ “เหะหะพาที” เพิ่มเติม