สถานการณ์การสู้รบ “ระหว่างทหารเมียนมา และกลุ่มต่อต้านรัฐบาลทหาร” ยังคงมีการปะทะกันต่อเนื่องโดยเฉพาะในเขตรัฐกะเหรี่ยงใกล้ชายแดนไทย–เมียนมา “ฝ่ายต่อต้าน” ใช้โดรนโจมตีทิ้งระเบิดยิงจรวดใส่ “ที่ตั้งทหารเมียนมา” แต่ก็ถูกตอบโต้ด้วยเครื่องบินรบมาทิ้งระเบิดโจมตีเช่นกันโดยจุดที่มีการสู้รบรุนแรงใช้อาวุธหนักมี 2 แห่ง คือ จ.กอกาเร็ก ห่างจากชายแดนไทย-เมียนมาประมาณ 30 กม. และอีกจุดใน จ.เมียวดี ห่างจากแนวชายแดน 2 กม. “เสียงการโจมตีดังสนั่นมาถึงฝั่งไทย” ทำให้ชาวเมียนมาต่างหนีภัยสู้รบข้ามแม่น้ำเมยมาเขตไทย และฝ่ายปกครองต้องจัดที่พักชั่วคราวให้ตามหลักมนุษยธรรมขณะที่ “ฝ่ายทหาร” ก็ส่งกำลังทหารเข้าประชิดชายแดนเพิ่มความเข้มข้นการลาดตระเวนดูแลความปลอดภัยให้พี่น้องประชาชน และป้องกันการลุกล้ำอธิปไตยตามที่ “ทีมสกู๊ป” พูดคุยกับฝ่ายการข่าวชายแดนบอกว่า การสู้รบในเมียนมาดุเดือดอยู่พื้นที่ตอนในห่างชายแดนไทย 30-50 กม. เพราะก่อนนี้ฝ่ายต่อต้านเปิดโจมตีถล่มทหารเมียนมา “เพื่อยึดเส้นทางสายกอกาเร็ก–โจ่งโด” ทำให้กองทัพส่งเครื่องบินรบมาทิ้งระเบิดตอบโต้ส่วนการสู้รบบริเวณใกล้ “ชายแดนเมียนมา–ไทยใน จ.เมียวดีน้อยลงมาเกือบเดือน” เท่าที่ทราบมาจากการเกิดภัยพิบัติแผ่นดินไหวส่งผลให้บ้านเมืองในเมียนมาหลายแห่งเสียหาย รวมถึงที่ตั้งฐานฝ่ายต่อต้าน และฝ่ายทหารเมียนมาก็ได้รับผลกระทบหนักเช่นกันเพียงแต่ภาพความเสียหายนั้นไม่ถูกเปิดเผยออกมาทั้งหมดเช่นนี้ฝ่ายทหารเมียนมาและกลุ่มต่อต้านหลักๆก็เห็นพ้องหยุดยิง เพื่อเปิดทางให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม แต่ก็ยังมียิงปะทะประปรายก่อกวนเล็กๆน้อยๆ “ลักษณะยิงหยั่งเชิง” ตามแนวชายแดนเมียนมา-ไทย เพราะเดิมในเมืองเมียวดีเคยถูกกลุ่มต่อต้านยึดครอง แต่ตอนนี้ฝ่ายทหารเมียนมาเข้ามาโจมตีควบคุมพื้นที่ได้ทั้งหมดแล้วจริงๆแล้วในห้วงนี้ “ฝ่ายรัฐบาลเมียนมา” มุ่งเน้นการเปิดใช้ทางเอเชียหมายเลข 1 (AH1) ช่วงเขตติงกานหญี่หน่อง จ.เมียวดี และเมืองกอกาเร็ก เพื่อเปิดเส้นทางการค้า และการขนส่งสินค้าให้สะดวกปลอดภัยยิ่งขึ้น เพราะผู้ประกอบการมักจะเลี่ยงใช้เส้นทาง AH1 สายเก่าและถนนหมายเลข 1018 ที่เป็นถนนลูกรังคดเคี้ยว ต้องวิ่งลัดเลาะขึ้นลงบนภูเขาแล้วยิ่งเข้าสู่ฤดูฝนจะเกิดปัญหาน้ำฝนเซาะถนนเป็นดินโคลนจนรถเล็กวิ่งผ่านไม่ได้ส่วนรถบรรทุกขนาดใหญ่ “ต้องใช้เวลาขนส่งสินค้านานเพิ่มต้นทุน” เหตุนี้ฝ่ายรัฐบาลจึงพยายามจะเปิดเส้นทางการค้า “แต่ยังไม่สำเร็จ” เพราะเมื่อส่งทหารมาก็มักถูกฝ่ายต่อต้านซุ่มโจมตีอยู่ตลอด ทำให้การขนส่งสินค้าไทยเข้าไปได้เฉพาะเมืองเมียวดีขนถ่ายสินค้าให้รถบรรทุกเมียนมาเข้าไปตอนในที่จะมีกองกำลังติดอาวุธคุ้มกันแต่ตอนนี้ก็มีปัญหาอยู่ว่า “ศูนย์สั่งการชายแดน จ.ตาก ปิดท่าข้าม 5 อำเภอชายแดน” โดยห้ามรถขนสินค้าใช้ท่าข้ามที่เคยเป็นช่องทางผ่อนปรนทางการค้า เนื่องจากถูกใช้เป็นช่องโหว่ให้กลุ่มขบวนการค้ายาเสพติดใช้ลำเลียงยาเสพติดเข้าสู่หัวเมืองชั้นใน ทำให้ต้องมีมาตรการคุมเข้มไม่อาจขนถ่ายลงบนเรือบรรทุกสินค้าได้ประเด็นสำคัญถัดมาตอนนี้คือ “รัฐบาลไทยมีนโยบายปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ใน จ.เมียวดี” ด้วยการใช้มาตรการตัดอินเตอร์เน็ต ตัดไฟ ตัดน้ำมันใน 5 จุดของชายแดนไทย-เมียนมา ทั้งยังสนธิกำลังทุกภาคส่วนในพื้นที่ “ตรวจเข้ม” สำหรับต่างชาติเข้ามาแล้วไม่เข้าข่ายว่ามาท่องเที่ยวก็จะให้เดินทางกลับโดยสมัครใจ ถ้ามาทางเครื่องบินมีตังค์ค่าตั๋วก็ให้บินกลับ แต่ถ้าไม่มีให้เดินทางโดยตำรวจจะควบคุมพาไปขึ้นรถโดยสารกลับไป ซึ่งการปราบปรามนี้ปรากฏพบคนจีนลอบเข้าเมืองเพิ่มขึ้น และถูกจับกุมได้แทบทุกวัน ซึ่งรูปแบบการเข้ามาจะเป็นลักษณะกองทัพมดใช้รถมอเตอร์ไซค์เป็นพาหนะลำเลียงต่อกันเป็นทอดๆจนถึงเป้าหมาย“กลุ่มลักลอบเข้าเมืองมักเป็นจีนเทารายย่อยหนีร้อนมาพึ่งเย็นเพื่อตั้งหลักให้สถานการณ์คลี่คลายก่อนค่อยกลับไป ส่วนคนจีนตกเป็นเหยื่อก็ถูกส่งกลับประเทศเกือบหมด ดังนั้นใน จ.เมียวดี คงเหลือแต่ทุนจีนเทารายใหญ่ที่มีกำลังติดอาวุธคอยคุ้มกัน และกำลังจะคืนชีพมาหลอกลวงตบทรัพย์คนไทยโอนเงินอีก” การข่าวชายแดน ว่าแม้ว่ารัฐบาลไทย “ตัดเน็ต ตัดไฟ และตัดน้ำมัน” แต่พวกเขาก็หันมาใช้เครื่องปั่นไฟที่ได้น้ำมันจากหัวเมืองชั้นในเมียนมา และหันไปพึ่งการใช้สตาร์ลิงก์ (Starlink) อันเป็นกระบวนการทำงานของกลุ่มดาวเทียมขนาดเล็กสามารถรับส่งข้อมูลผ่านอินเตอร์เน็ตได้ไม่ต้องใช้สาย และรับส่งข้อมูลด้วยความเร็วสูงแทน หากมองจาก อ.แม่สอด จ.ตาก “สตาร์ลิงก์” ได้ถูกติดตั้งเรียงรายบนตึกในเมืองเมียวดีมากขึ้น “ฝ่ายความมั่นคงไทย” ก็ตรวจยึดอุปกรณ์สื่อสารดาวเทียมสตาร์ลิงก์ที่ส่งไปใน จ.เมียวดี ได้เป็นประจำ และยิ่งกว่านั้นในเมืองชเวโก๊กโก่ศูนย์กลางแก๊งคอลเซ็นเตอร์กลับมีการก่อสร้างตึกรามบ้านช่องเพิ่มมากขึ้นอยู่ตลอดสะท้อนให้เห็นว่า “คงมีเม็ดเงินเข้ามาในธุรกิจสีเทาแห่งนี้” โดยมีกองกำลังชนกลุ่มน้อยให้การคุ้มครองเพียงแต่พยายามสร้างภาพให้นานาชาติเห็นว่า “มีการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์” อันเป็นลักษณะการเปลี่ยนถ่ายจีนเทาเก่าออก และนำกลุ่มใหม่เข้ามา เพื่อได้รับเงินสนับสนุนใช้จัดซื้ออาวุธ หรือจ่ายเงินเดือนทหารดังนั้นเห็นได้ว่าแม้มีคนไหลออกมาก แต่มีคนไหลเข้าไปเมียวดีไม่ขาดสายเช่นกัน แล้วยิ่งกว่านั้นคนจีนบางส่วนหันมากว้านซื้อที่ดินกับชาวบ้านตามแนวชายแดนไทยเพิ่มขึ้น แต่ไม่รู้ซื้อไปทำอะไรเรื่องนี้คงต้องดูกันยาวๆในส่วน “แรงงานต่างด้าว” ยังเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบการสู้รบจากหลายเมืองเข้ามาขายแรงงานในไทยใช้บริการนายหน้าพาข้ามแดนผ่านช่องทางธรรมชาติ ด้วยวิธีซับซ้อนไม่ทำโจ๋งครึ่มเหมือนก่อน แต่ตามข้อมูลหลายกรณีชี้ว่า “ขบวนการลักลอบนำแรงงานเข้าเมืองมักจ่ายให้คนมีสี” เพื่อการเดินทางผ่านการตรวจได้ราบรื่น มิเช่นนั้นไม่มีทางหลุดรอดได้ “แต่การลักลอบเข้าเมืองก็น้อยลง” เพราะเจ้าหน้าที่ตรึงกำลังเข้มงวดนับแต่มีนโยบายปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ แต่ก็มีบางส่วนหลุดรอดเข้าพื้นที่ตอนในประเทศได้เช่นกัน เพราะพื้นที่ จ.แม่สอด “ไม่มีเครื่อง X–ray รถยนต์” ทำให้ต้องอาศัยสายข่าวเป็นหลัก ดังนั้นเครื่อง X-ray จำเป็นต้องมีประจำจุดตรวจเพราะชนกลุ่มน้อยเริ่มลักลอบขนยาเสพติดเข้าในไทยผ่านชายแดนด้าน จ.ตาก เพิ่มขึ้น เพื่อหารายได้จากการผลิต-การค้าไปใช้ซื้ออาวุธสนับสนุนการสู้รบกับรัฐบาลเมียนมา หรือการรักษาอิทธิพลในพื้นที่ของตนนี่เป็นความเคลื่อนไหวสถานการณ์แนวชายแดนไทย–เมียนมาที่ยังตึงเครียดสู้รบกันระหว่างทหารเมียนมา–กลุ่มต่อต้านก่อเกิดความไร้เสถียรภาพทางการเมืองในภูมิภาคนี้จนเริ่มเห็นท่าที “ผู้นำอาเซียนคนใหม่” เข้ามามีบทบาทเป็นทูตพิเศษ เพื่อยุติความขัดแย้งที่ต้องติดตามกันต่อไป­­­­­­­­­.คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม