เรื่องหนูในศาลเจ้า...จากหนังสือคารมคมปัญญา ประสิทธิ์ ฉกาจธรรม เขียน ผมลอกเล่าไปแล้ววันก่อน เป็นเรื่องเก่าของจีน สมัยชุนชิว เฉียด 3 พันปีครับ แต่เรื่องหนูบนเจดีย์ จากหนังสือ เรื่องคมๆความหมายชวนคิด (สำนักพิมพ์อินสไปร์ พ.ศ.2553) ที่จะเล่าต่อในวันนี้ มีกลิ่นอายฝรั่ง เป็นเรื่องทันสมัยใหม่กว่า
หนูในศาลเจ้า เป็นหนูคนละตัวกับหนูบนเจดีย์ ลีลาก็ต่างกัน
เจ้าหนูตัวใหม่ ตอนแรกๆก็เหมือนหนูตัวอื่น เร่ร่อนหากิน อดมื้อกินมื้อ จนกระทั่งมันเจอทำเลทอง ทำรังบนเจดีย์ใหญ่ ชีวิตเจ้าหนูก็เปลี่ยนแปลงไปทันตาเห็น
เจดีย์นี้นอกจากใหญ่ยังมีหลายชั้น ชั้นล่างเป็นที่ตั้งของพระพุทธรูปสำคัญ แต่ละวันจะมีพุทธศาสนิกชนแวะเวียนไปกราบไหว้ไม่ขาด แน่ล่ะ อาหารการกินของมันจึงอยู่สมบูรณ์เหลือเฟือ
ขณะสาธุชนคนใจบุญ จุดธูปบูชาพระ เจ้าหนูได้กลิ่นธูปเป็นสัญญาณเรียก มันจะออกจากรู มองตามควันธูปที่ค่อยๆลอยอ้อยอิ่ง แล้วก็ทำจมูกฟุดฟิดยืดตัวตาม พอคนลุกเดินห่างไปมันก็ได้ทีและเลียของไหว้
อิ่มหนำสำราญแล้ว วันหนึ่งเจ้าหนูก็ลองปีนป่ายขึ้นไปบนองค์พระ มองลงมา คราวนี้มันก็มองคนที่คุกเข่ากราบพระ มันเริ่มสงสัย คนเหล่านี้ ทำไมจึงเข่าอ่อน บูชาตัวมัน...อยู่นานสองนาน
นานๆวันเข้า เจ้าหนูก็เผลอตัวคิดว่า ตัวเองใหญ่กว่าพระพุทธรูป
วันดีคืนดี มันก็ทั้งฉี่ทั้งถ่ายใส่มือองค์พระ...ฮัดเช้ย! มันแสร้งจาม ก็ไม่เห็นพระท่านบ่นอะไรออกมาสักคำ
ในอารมณ์ที่หนูเหิมเกริมขึ้นทุกวันนั่นเอง แล้วก็ถึงวันนั้น
วันที่บริเวณที่ผู้คนเคยแวะเวียนกราบไหว้พระ...ว่างเปล่า เจ้าหนูกำลังเหม่อชะเง้อคอ คอยรอกินของเซ่นไหว้เหมือนทุกวัน
เจ้าแมวตัวโต หิวโซเต็มที่ก็หลุดเข้ามา มันตะปบเจ้าหนู
ตัวนั้นไว้ในกรงเล็บได้ในพริบตาเดียว
...
“แกกินฉันไม่ได้...” หนูกัดฟันขู่ “แกต้องคุกเข่าบูชาฉัน ฉันน่ะ เป็นตัวแทนพระพุทธเจ้าเชียวหนา!”
แมวหัวเราะร่า! “ที่คนเขาคุกเข่าให้แก เพราะตำแหน่งแห่งที่ตัวแกอยู่ เขาคุกเข่าให้แกเสียเมื่อไหร่!”
แมวยิ้มเย้ย แล้วไม่เสียเวลาให้เจ้าหนูหลงตัวพูดจาต่อ มันขย้ำเจ้าหนูขาดเป็นสองท่อน เสียงที่ดัง ยังกะคนหักขนมปังกรอบยัดเข้าปาก
เรื่องคมๆเรื่องนี้ มีความหมายชวนคิด แตกต่างกว่าเรื่องหนูในศาลเจ้า เจ้าหนูเห็นผู้คนกราบไหว้พระพุทธรูปทุกวัน มันเผลอเข้าใจผิดว่า ผู้คนกราบมัน จนลืมความกลัว
ยังดีที่แมวไม่ได้ถูกสถานที่มันขรึมขลังที่หนูอยู่ จนกลัว
คำขู่ ตรงข้ามกับคนโชคร้าย ที่มักไม่เป็นเช่นนั้น
ในชีวิตประจำวัน จะมีผู้คนสักกี่คน ที่รู้ซึ้งถึงแก่นแท้ความกลัว แสดงปฏิกิริยาออกมาพอดีๆ เพราะความจริงมักมีว่า ความกลัวของผู้คนมากมายนั้นเกิดมาจากจินตนาการที่ปั้นแต่งขึ้นมาเอง
ความกลัวเป็นศัตรูสำคัญที่สุดของมนุษย์ ความไม่สบายใจ ความกังวล ความริษยา ความโมโห ความขี้ขลาด ล้วนแต่เกิดจากรากฐานความกลัว
ความกลัวทำลายความอยากอาหาร ลดความกระตือรือร้น สลายความหวัง ทำให้จิตใจอ่อนแอ จนไม่สามารถสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ
ความกลัวแสดงความไร้ประสิทธิภาพ แสดงถึงความขี้ขลาด ความกลัวตัวนี้ เป็นทั้งปิศาจ เป็นเพชฌฆาตทำลายความสุข ทำลายความหวังของคนเรามามากต่อมาก
ประธานาธิบดีอเมริกา แฟรงกลิน เดลาโน โรสเวลต์ เคยกล่าว สิ่งที่น่ากลัวที่สุดมีเพียงอย่างเดียว คือความกลัว ควรทำความเข้าใจเสียใหม่ การไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในวันต่อไป เป็นเสน่ห์ชีวิตเรา ที่ได้เจอสิ่งไม่คาดฝัน
เมื่อความจริงมีเช่นนี้ จะกลัวสิ่งที่ยังไม่มาถึง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องภาษีสหรัฐอเมริกา หรือ...การปรับ ครม. ฯลฯ ต่อไป อีกทำไม?
กิเลน ประลองเชิง
คลิกอ่านคอลัมน์ “ชักธงรบ” เพิ่มเติม