พินิจ หุตะจินดา เริ่มเรื่อง “โรงหวย” ไว้ใน “สรรพลักษณะไทย ศิลปวัฒนธรรม ประเพณี และพระราชพิธี” (แสงดาว พิมพ์ 2567) ว่าปี 2374 น้ำท่วมใหญ่ ไร่นาพืชผักเสียหายมาก ทั้งปี 2375 ฝนแล้งน้ำน้อย
เกิดปัญหาข้าวราคาแพง คนจนไม่มีเงินซื้อข้าว เจ้าภาษีนายอากรไม่มีเงินส่งหลวง ร.3 ทรงสงสัย มีคนซื้อฝิ่นกักตุนขาย เงินพดด้วงจึงหายจากตลาด โปรดให้จับฝิ่นและเผาฝิ่น แต่สถานการณ์ก็ไม่ดีขึ้น
จีนหง (เจ๊สัวหง) ข้าพึ่งบุญ กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ โปรดเกล้าเป็นพระศรีไชยบาล กราบทูลว่า ปัญหาเช่นนี้รัฐบาลจีนเคยตั้งหวยเพื่อให้ราษฎรนำเงินมาเล่น เงินก็จะไหลออก จึงโปรดให้ตั้งโรงหวย เมื่อกลางเดือนธันวาคม 2378
พระศรีไชยบาล เป็นนายอากรหวยคนแรก ต่อมา ขุนบานเบิกบุรีรัตน์ เป็นคนออกหวย ชื่อนายโรงหวย จึงเรียกกันทั้ง “ขุนบาล” และ “ขุนบาน” มานับแต่นั้น
หวยที่ออกเล่น เรียกหวย ก.ข. นายพุ่ม น้องชายขุนเณรบุตรเขยเจ๊สัวหง เป็นเสมียนแต่งโคลงกลอนกำกับรูปภาพ เป็นสัตว์ที่สมมติเป็นชาติก่อนของคนที่เป็นตัวหวย เช่น ก.สามหวย ข.ง่วยโป๊ ฯลฯ ตัวหวยมี 34 ตัว
คนไทยที่อ่านพูดภาษาจีนไม่ได้ ก็ซื้อหวยได้ง่ายเพราะจำรูปภาพ และคำกลอน อัตราค่าแทงตัวละบาท มีเสมียนหวยนั่งหน้าโรงคอยรับแทง ได้เวลาหวยออก เจ๊สัวหงก็ออกมาชักป้ายตัวหวยออกจากถุง ให้รู้ว่าหวยออกตัวไหน
ใครแทงถูกก็เอาโพยไปขึ้นเงิน ได้ 30 ต่อ หักเงินที่แทงออก เหลือ 29 ต่อ
เดิมทีโรงหวยอยู่ใกล้สะพานหันในเขตกำแพงเมือง เมื่อมีคนเล่นมากจึงย้ายไปอยู่หน้าวังบูรพา ออกหวยวันละครั้งเวลาเช้า ต่อมาพระศรีวิโรจน์ (ดิศ) ขอตั้งโรงหวยแห่งที่ 2 ที่บางลำพู ออกหวยตอนค่ำ
ไม่นานโรงหวยบางลำพูเจ๊ง เจ๊สัวหงได้โอกาสออกหวยวันละสองครั้ง ตอนเช้า 9 โมง ตอนเย็นบ่าย 3 โมง จึงยิ่งร่ำรวยกว่าเดิม ขยายโรงหวยในพระนคร ไปยังแขวงนนทบุรีและปทุมธานี แบ่งแขวงหวยเป็น 38 แขวง
...
สมัย ร.4 มีผู้ขอตั้งโรงหวยที่เพชรบุรี และที่พระนครศรีอยุธยา แต่ทรงไม่อนุญาต เกิดขุนบานเถื่อนทั่วประเทศ
ในรัชกาลที่ 4 นี้เอง หมอบรัดเลย์ (ด็อกเตอร์ แดนบีช บรัดเลย์) เขียนบทความคัดค้านไว้ในหนังสือพิมพ์จดหมายเหตุ (เดอะบางกอกรีคอร์เดอร์)...ว่า
ข้าพเจ้าได้ยินข่าวว่า จะตั้งโรงหวยที่เมืองนครไชยศรี สำหรับที่เก็บเงินใช้ในการขุดคลอง และได้ยินข่าวว่าที่เจ้าสัวยิ้มพระยาภาษีสมบัติบริบูรณ์ เต็มใจจะรับจ้างการขุดคลองเป็นการเหมา แต่ค่าจ้างนั้นจะขอตั้งหวยถึง 3 ปี แล้วจึงจะเอาเงินค่าหวยเป็นค่าลูกจ้างขุดคลอง...
แต่เสนาบดีจะเก็บเงินในการเล่นหวย เล่นโป เล่นถั่ว เพื่อที่จะใช้ในการหลวงนั้น ข้าพเจ้าไม่เห็นด้วยเลย เป็นเหมือนคำสุภาษิตว่า มีปัญญาเฟื้องหนึ่ง กับอับปัญญาชั่งหนึ่ง...
และการเล่นหวยนั้น เป็นการชั่วร้ายนัก ดุจปล่อยพวกผีปีศาจทั้งหลายให้มาล่อลวงฝูงราษฎร ให้คิดแต่จะเล่นแก้ตัวให้รอดขึ้นเพราะเงินที่เสียไปแล้วนั้น กว่าทรัพย์สินเงินทองของเขาจะตกเข้าไปเป็นทรัพย์สินของเจ้าภาษีหมด
แล้วจะต้องขายบุตรภรรยา และเรือกสวนไร่นา จนกระทั่งถึงตัวก็จะเป็นข้าเขาด้วย...
สมัย ร.5 มีพระราชประสงค์ในการยกเลิกหวย ตามพระราชประสงค์ในรัชกาลที่ 4 มีประกาศห้ามเด็กเล่นการพนันถึง 3 ฉบับ มีประกาศยุบระบบเจ้าภาษีนายอากรอย่างค่อยเป็นค่อยไป
ขณะเดียวกันก็ดึงภาษีอากรมาให้รัฐบาลเอง ซึ่งก็ได้เกือบทั้งหมด
ความพยายามนี้มีจนถึงสมัย ร.6 สมเด็จฯ กรมพระจันทบุรี นฤนาท เสนาบดีกระทรวงคลัง ทรงเห็นว่าหากปล่อยปัญหาโรงหวยไว้นานๆ จะเกิดความเสียหายหนัก จนแก้ไขไม่ได้ ร.6 ทรงตัดสินพระทัยฉับพลัน ยกเลิกและห้ามเล่นหวย ก.ข. กะทันหัน (ประกาศล่วงหน้า 15 วัน) เมื่อ 1 เม.ย.2559
พินิจ หุตะจินดา รวบรวมตัวเลข เงินอากรหวย ที่เป็นรายได้เข้าหลวง ปีแรกสมัย ร.3 250 ชั่ง สมัย ร.4 ปีละ 2,500 ชั่ง (ราว 2 แสนบาท) สมัย ร.5 (พ.ศ.2446) 2 ล้านบาท จนถึงสมัย ร.5 (พ.ศ.2455) 3 ล้าน 6 แสนบาท
ประเทศไทยมีประสบการณ์กับโรงหวยมาถึง 4 รัชกาล...รัฐบาลจากการเลือกตั้ง ที่กำลังจะตั้งโรงหวยถูกกฎหมาย มามอมเมาคนไทย...อีกครั้ง แน่ใจแล้วหนา! ว่า คิดถี่ถ้วนดีแล้ว.
กิเลน ประลองเชิง
คลิกอ่านคอลัมน์ “ชักธงรบ” เพิ่มเติม