แก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ใช้ “เมืองชเวโก๊กโก่ ประเทศเมียนมา” เป็นศูนย์กลางหลอกลวงคนไทยตกเหยื่อโอนเงินไม่เว้นแต่ละวัน สร้างความเสียหายมหาศาลทุกปี กลายเป็นประเด็นร้อนต้องเร่งจัดการด่วน
กระทั่งนำมาซึ่ง “รัฐบาลไทย” ออกมาตรการตัดไฟฟ้า งดขายน้ำมัน ตัดสัญญาณอินเตอร์เน็ต เพื่อบดขยี้แก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ปักหลักตั้งกองกำลังเป็นฐานใหญ่ในการหลอกลวงผู้คนอยู่ในเมียนมาจะได้ผลหรือไม่ รศ.ดร.วศิน ปัญญาวุธตระกูล อาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ ม.นเรศวร จ.พิษณุโลก บอกว่า
ก่อนหน้านี้เข้าไปศึกษาบ่อนกาสิโนในเมียวดีหลังโควิด-19 “คนไทย” ข้ามไปเล่นพนันน้อยลงมากจนธุรกิจกาสิโนปรับรูปแบบเน้นมาเป็นบ่อนออนไลน์สร้างเป็นแอ็กเคาต์เล็กๆ ยิงโฆษณาในสื่อดิจิทัลดึงดูดผู้เล่นใหม่
แต่ถ้าใน “เมืองชเวโก๊กโก่” ที่เดิมเป็นแหล่งรองรับชาวจีนอพยพหนีหนาว “ก่อเกิดกาสิโน” แต่ปัจจุบันมีกิจกรรมอาชญากรรมอื่นอย่างแก๊งคอลเซ็นเตอร์ย่อยๆขนาด 3-5 คน กระจายตามห้องเช่า หรือห้องแถวเต็มไปหมด

...
เท่าที่ลงพื้นที่พูดคุยกับ “คนชเวโก๊กโก่” กลุ่มแก๊งคอลเซ็นเตอร์มักเป็นคนจีนรับงานมาทำ “มีรายได้จากเงินเปอร์เซ็นต์” โดยคนเหล่านี้จะตีตั๋วเป็นนักท่องเที่ยวเดินทางผ่าน “ประเทศไทย” แล้วพักอาศัยอยู่ 2-3 เดือน ก่อนรวมกลุ่มกันเดินทางมาในชเวโก๊กโก่อยู่อีก 6 เดือน ซึ่งพฤติการณ์จะสลับหมุนวนเวียนกันมาแบบนี้ตลอด
เพื่อใช้ชเวโก๊กโก่ “เป็นศูนย์กลางทำธุรกิจสีเทาเต็มไปหมด” ที่มิได้ทำเฉพาะคอลเซ็นเตอร์แต่ยังทำธุรกิจผิดกฎหมายเกี่ยวกับการหลอกลวงทางการเงินประเภทอื่นครบวงจร ทำให้รายได้มาจากการหลอกชาวบ้านล้วนๆ
เช่นนี้ปัจจุบัน “ชเวโก๊กโก่ใช้กาสิโนสร้างภาพเป็นแหล่งท่องเที่ยว” แต่สภาพจริงล้อมรอบธุรกิจผิดกฎหมายทุกตารางนิ้ว “บางส่วน หน้าร้านทำธุรกิจถูกกฎหมาย” หลังบ้านเปิดทำธุรกิจสีเทาก็มีโดยคนไทยร่วมทำด้วยที่เริ่มเป็นการ์ดในกาสิโนเมียวดี “จีนเทา” จึงชวนมาทำในชเวโก๊กโก่รายได้ 17,000-30,000 บาท/เดือน บวกค่าคอมมิชชัน
แล้วเท่าที่คุยกับ “คนไทย” ส่วนใหญ่สมัครใจมาทำงานแทบทั้งสิ้น “บางส่วนเป็นผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญในด้านไอทีโดยเฉพาะด้วยซ้ำ” ดังนั้นคนไทยถูกหลอกให้มาทำงานค่อนข้างมีน้อยมาก เพียงแต่กรณีคนไทยหลบหนีกลับบ้านนั้นส่วนใหญ่มักเกิดจากความขัดแย้งตกลงผลประโยชน์ไม่ลงตัวกัน
พอหนีข้ามมายังประเทศไทยถูกตำรวจจับมักกล่าวอ้างว่า “โดนหลอกไปทำงานเพื่อเลี่ยงการถูกดำเนินคดี” อย่างไรก็ดี คนถูกหลอกไปทำงานในชเวโก๊กโก่ หรือเมืองเมียวดีจริงก็มี เพียงแต่ตอนลงพื้นที่ศึกษาไม่เจอ
ประเด็นว่า “ไทยงดจ่ายไฟสกัดแก๊งคอลเซ็นเตอร์นั้น” เรื่องนี้กลุ่มจีนเทาในพื้นที่รู้ตัว พูดถึงกรณีประเทศไทยจะทำการตัดไฟมานานแล้ว ทำให้มีแผนรองรับในการจัดการเกี่ยวกับไฟฟ้าสำรองมาใช้ไฟโซลาร์เซลล์ รวมถึงมีการเตรียมเครื่องปั่นไฟ และกักตุนน้ำมันหลายแสนลิตรมาระยะหนึ่งด้วยซ้ำ

ล่าสุดที่เข้าไปสำรวจหลังงดจ่ายไฟฟ้าพบว่า “ธุรกิจจีนเทาขนาดเล็กๆ” ยังคงใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานได้เป็นปกติ แม้แต่ธุรกิจขนาดใหญ่อย่าง “บ่อนกาสิโน” ก็ไม่มีผลกระทบเนื่องจากเขารู้ตัว และเปลี่ยนไปซื้อไฟฟ้าจาก สปป.ลาว 30% มาระยะหนึ่ง เพียงแต่กรณีไทยตัดไฟนั้นในพื้นที่อาจจะไม่สว่างไสวเหมือนเดิมเท่านั้น
แม้แต่ “อุตสาหกรรมการเกษตร” ก็มีการปรับมาใช้ไฟฟ้าโซลาร์เซลล์กันเกือบทั้งหมด เช่นนี้สำหรับมาตรการที่จะสกัดธุรกิจจีนเทาได้ผลแน่ๆ “ต้องตัดสัญญาณสื่อสาร” ด้วยปัจจุบันเครือข่ายเหล่านี้ใช้สัญญาณอินเตอร์เน็ตจากไทย “หลอกลวงคนไทย” ไม่ว่าจะยิงโฆษณาชักชวนเล่นพนันออนไลน์ หรือแก๊งคอลเซ็นเตอร์ก็ตาม
แต่ว่าปัญหาที่เกิดขึ้นจาก “มาตรการสกัดแก๊งคอลเซ็นเตอร์” กำลังส่งผลกระทบต่อภาคการขนส่ง เนื่องจากคนเมียนมาไม่กล้าขนส่งสินค้าเกษตรเข้ามาในไทยจากมาตรการตั้งด่านตรวจสกัดเข้มงวด แม้แต่แรงงานเคยมารับจ้างก็ไม่กล้าข้ามมาทำงาน “เกรงถูกจับกุม” ทำให้ช่วงนี้การเคลื่อนย้ายแรงงานอาจจะลดลง
...
“กรณีไทยตัดไฟฟ้า 5 จุดนั้นคนในพื้นที่มีการพูดกันมานานแล้วจนจีนเทาไปหาซื้อเครื่องปั่นไฟสำรอง และตุนน้ำมันหลายแสนลิตรมาระยะหนึ่ง โดยพวกเขาประเมินสถานการณ์ไม่เกิน 1 เดือนก็น่าจะเจรจากับฝ่ายไทยให้ปล่อยไฟเป็นปกติได้ แต่หากเกือบกว่า 1 เดือนอาจเริ่มส่งผลกระทบที่จะเกิดการปะทะบางอย่างขึ้นมา” รศ.ดร.วศิน ว่า
อันที่จริงแล้วถ้าย้อนดู “ชเวโก๊กโก่” เป็นเมืองถูกสร้างขึ้นใหม่จากเงินทุนต่างชาติคนจีนเข้ามาพัฒนาอสังหาริมทรัพย์หลายพันล้านบาท “เพื่อรองรับคนจีนอพยพหนีหนาว” ลักษณะเป็นที่พักผ่อนท่องเที่ยว “อันเป็นเขตอิทธิพลกองกำลังพิทักษ์ชายแดน BGF” กลายเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ มีทำเลที่ตั้งตรงข้ามแม่สอดของไทย
ดังนั้นนายทุนต่างชาติจะเข้ามาในชเวโก๊กโก่ล้วนต้องผ่าน “นายพลชิตตู่” ทำให้พื้นที่แห่งนี้เป็นเหมือนรัฐใหม่ไม่เกี่ยวกับรัฐบาลเมียนมา “จนเป็นฐานกำลังใหญ่ของคนจีนเชื่อมโยงกับ BGF” แตกต่างไปจาก “เมืองเมียวดี” ที่มีจุดเริ่มต้นจากกลุ่มทุนไทยจับมือกับทุนเมียนมาสร้างบ่อนกาสิโนเล็กๆ 20 หลังติดริมแม่น้ำ
เมื่อเช่นนี้ทำให้ “รัฐบาลเมียนมา” ไม่สามารถใช้อำนาจเข้าไปจัดการภายในชเวโก๊กโก่ได้ หรือแม้แต่กองกำลัง BGF “ก็เชื่อว่าไม่ทำอะไร” เพราะนายพลชิตตู่เป็นผู้เปิดทางให้ทุนจีนเทา คงเป็นไปไม่ได้ที่จะเข้าไปจัดการกับกิจกรรมในชเวโก๊กโก่ “รัฐบาลจีน” ก็ไม่อาจจัดการได้เช่นกัน เพราะกลุ่มจีนเทาทำกิจการนอกประเทศ
ฉะนั้นแล้ว “ฝ่ายไทยอาจต้องใช้ความสัมพันธ์ระหว่างชายแดนไทย” เพื่อเจรจาอย่างไม่เป็นทางการ ขอความร่วมมือให้ “BGF” จัดการกลุ่มขบวนการจีนเทาที่ก่อความเสียหายให้ไทยได้เป็นบางส่วน
...
ทว่าปัญหามีต่อว่า “จีนเทามิได้มีเฉพาะเมียนมา” ปัจจุบันขยายลงไปทำธุรกิจสีเทาในทุกประเทศของอาเซียนโดยเฉพาะประเทศไทยก็ปรากฏความเชื่อมโยง “จีนเทา” เข้ามาทำธุรกิจมากพอสมควร สามารถสังเกตจากกลุ่มปฏิบัติการมักจะเข้ามาอยู่ 3-6 เดือน ก่อนจะเดินทางข้ามไปยังเมียนมา อันมีลักษณะวนไปวนมาแบบนี้มาตลอด

อีกประการ กรณี “คนจีนเข้ามาก่อเหตุลักพาตัวคนจีนด้วยกันในไทย” ล้วนเป็นกลุ่มทำงานในเครือข่ายเชื่อมโยงธุรกิจสีเทาไม่ว่าจะเป็นผับ บาร์ หรือธุรกิจนายหน้าค้าผู้หญิงไซด์ไลน์บนโลกออนไลน์ “ก่อเกิดการยืมหนี้ยืมสินกันขึ้น” ทำให้เจ้าหนี้คนจีนใช้วิธีจัดการกันเอง จับตัวมาทำงานใช้หนี้ในเมืองชเวโก๊กโก่หลายคน
นี่เป็นความเคลื่อนไหว “แก๊งคอลเซ็นเตอร์ในเมียนมา” เป็นภัยต้องจัดการเร่งด่วนด้วยการใช้กลไกความร่วมมือระดับภูมิภาค เข้ามา ช่วยจัดการแก๊งข้ามชาติเหล่านี้ให้สิ้นซากจะได้ไม่ไปหลอกใครได้อีก.
คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม
...