ทำไม? กรุงเทพฯ จังหวัดสมุทร ปราการ จังหวัดสมุทรสาคร จึงมีค่า “ฝุ่น PM 2.5”ค่อนข้างสูงในช่วงฤดูหนาว นั่นเพราะในช่วงฤดูหนาว “มวลอากาศเย็น” หรือ “มวลความกดอากาศสูง” ได้แผ่ลงมาจากแผ่นดินใหญ่ประเทศจีนทางทิศเหนือลงมาที่ประเทศไทย

ทำให้เกิดสภาวะอุณหภูมิผกผันหรือภาวะ “temperature inversion” คือ มวลอากาศเย็นกดต่ำลงมาลักษณะคล้ายฝาชีครอบประเทศไทยและอากาศร้อนทับอยู่ข้างบนอีกที หากมีแหล่งกำเนิดที่ปล่อยฝุ่น PM2.5 จำนวนมากจะทำให้ถูกกักเก็บไว้ในฝาชีที่ครอบไว้

ซึ่งในช่วง “ฤดูหนาว” จะมีลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือพัดจากทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ผ่านมายังกรุงเทพฯและเมืองชายฝั่งทะเล...มีลมพัดจากทะเลหรือลมจากทิศใต้พัดขึ้นมา หากลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือมีกำลังแรงเพียงพอก็จะพัดพาเอามลพิษรวมทั้งฝุ่น “PM2.5” ลงสู่ทะเลได้

จึงทำให้ค่าฝุ่น PM2.5 ไม่สูงมากอยู่ในเกณฑ์ปกติ แต่หากในบางช่วงเวลา ลมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดพาเอาความหนาวเย็นมีกำลังแผ่วลง และลมจากทิศตะวันตกเฉียงใต้มีกำลังแรงมากกว่าก็จะพัดขึ้นมา

ดันให้ฝุ่น PM2.5 ขังอยู่ในตัวเมืองบริเวณชายฝั่งทะเล ซึ่งเป็นปลายทางก่อนจะลงสู่ทะเล

...

ประกอบกับ “กรุงเทพมหานคร” มีลักษณะที่เป็นเมืองคล้ายเป็นแอ่งกระทะมีตึกสูงจำนวนมาก โดยเฉพาะอาคารสูงที่สูงเกิน 23 ชั้นมีมากกว่า 2,000 แห่ง การจราจรค่อนข้างติดขัด ทำให้ฝุ่นละอองถูกกักขังอยู่ในตัวเมืองของกรุงเทพฯ ดังนั้น...ฝุ่นที่มาจากการเผาชีวมวลจากบริเวณใกล้เคียง เมื่อพัดออกสู่ทะเลไม่ได้...

และ...รวมกับ “มลพิษ” ที่เกิดขึ้นในเมืองก็จะถูกขังอยู่ในตัวเมืองของกรุงเทพฯและปริมณฑล รวมทั้งจังหวัดสมุทรปราการและจังหวัดสมุทรสาครที่มีโรงงานอุตสาหกรรม...รถบรรทุกดีเซลมากด้วย จึงเป็นแหล่งเกิดฝุ่น PM 2.5 จำนวนมาก หลังจากนั้นกลางเดือนกุมภาพันธ์ลมจากทิศใต้และตะวันตกเฉียงใต้จะมีกำลังแรงมากขึ้นก็จะดันฝุ่นละอองจากแหล่งกำเนิดต่างๆไปยังภาคเหนือและภาคอีสานต่อไป

ขณะที่มวลความกดอากาศสูงยังครอบภาคเหนืออยู่ หากมีการเผาในพื้นที่เกษตรกรรมและป่าไม้รวมกับฝุ่นข้ามแดนภาคเหนือจะประสบภาวะวิกฤติได้ โดยเฉพาะเมืองที่มีลักษณะเป็นแอ่งกระทะ เช่น จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดแม่ฮ่องสอน และจังหวัดลำปาง รวมทั้งจังหวัดเชียงรายด้วย

ดังนั้นการจัดการแหล่งกำเนิดมลพิษและการคาดการณ์การระบายอากาศในแนวดิ่ง จึงเป็นเรื่องที่สำคัญในช่วง 8 เดือนที่ยังไม่เกิดภาวะฝาชีครอบ จะต้องดำเนินการตามแผนระยะสั้น ระยะยาว เพื่อจัดการปัญหาแหล่งกำเนิดมลพิษต่างๆ เพื่อให้เกิดการเผาไหม้ หรือการปล่อยควัน ฝุ่นใดๆน้อยที่สุด

แต่...ในช่วงที่เกิดภาวะวิกฤติแล้วต้องบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด ร่วมกับการป้องกันปัญหาสุขภาพของประชาชนอย่างเข้มแข็ง

อาจารย์สนธิ คชวัฒน์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ชมรมนักวิชาการสิ่งแวดล้อม ตั้งปุจฉา โพสต์ไว้ในเฟซบุ๊กส่วนตัว “Sonthi Kotchawat” เมื่อช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาเอาไว้อีกว่า ผู้ว่าฯจะประกาศให้กรุงเทพฯเป็นเขตควบคุมมลพิษ...ต้องคิดให้ดี

ประการแรก...หากประกาศเป็นเขตควบคุมมลพิษแล้วแสดงว่า “กรุงเทพฯ” เป็นเมืองที่มีปัญหามลพิษสูงมากขนาดเป็นอันตรายต่อสุขภาพเกิดขึ้นทั้งปี...ต้องถูกควบคุมอย่างเข้มงวด...

“คนจะคิดถึงพื้นที่มาบตาพุด จังหวัดระยอง...พื้นที่หน้า พระลาน จังหวัดสระบุรีเป็นต้น จะมีข่าวออกไปทั่วโลก จะมีนักท่องเที่ยวอยากมาเที่ยวหรือไม่?...จริงๆ กทม.ไม่ได้มีมลพิษสูงที่เกิดขึ้นตลอดปี มีกฎหมายอื่นๆสามารถควบคุมในภาวะที่ฝุ่นสูงได้...”

...

ตาม พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 ระบุว่า มาตรา 59 “ในกรณีที่ปรากฏว่าท้องที่ใดมีปัญหามลพิษซึ่งมีแนวโน้มที่จะร้ายแรงถึงขนาดเป็นอันตรายต่อสุขภาพอนามัยของประชาชน หรืออาจก่อให้เกิดผลกระทบเสียหายต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อม ให้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ มีอำนาจประกาศในราชกิจจานุเบกษา กำหนดให้ท้องที่นั้นเป็นเขตควบคุมมลพิษเพื่อดำเนินการควบคุมลดและขจัดมลพิษได้”

ประการที่สอง...ข้อดีของการประกาศเป็นเขตควบคุมมลพิษคือ เมื่อประกาศแล้ว ท้องถิ่นหรือเขตการปกครองในพื้นที่นั้นๆจะมีอำนาจในการจัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อลดและขจัดมลพิษ

เพื่อควบคุมและแก้ไขปัญหามลพิษทุกชนิดอย่างเป็นระบบ โดยเริ่มจากการศึกษาและสรรหามาตรการที่เหมาะสมในการควบคุม และขจัดมลพิษในพื้นที่นั้นๆ และสามารถจะดำเนินการแก้ไขปัญหามลพิษในพื้นที่นั้นๆได้ทันท่วงที

ซึ่ง...ถือเป็นการกระจายภาระหน้าที่ในการจัดการมลพิษไปสู่ท้องถิ่นโดยตรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสามารถบังคับให้ผู้ที่อยู่ในเขตควบคุมมลพิษต้องปฏิบัติตามมาตรการที่กำหนดและยังสามารถขอจัดสรรเงินงบประมาณแผ่นดินและเงินกองทุนสำหรับก่อสร้างหรือดำเนินการ

...

เพื่อให้มีระบบบำบัดน้ำเสียรวม หรือระบบกำจัดของเสียรวมของทางราชการที่จำเป็นสำหรับการลดและขจัดมลพิษในเขตควบคุมมลพิษนั้นด้วย

ประการที่สาม...เมื่อประกาศเป็นเขตควบคุมมลพิษแล้ว หากไม่สามารถดำเนินการแก้ไขให้มลพิษอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานในเวลาที่กำหนด “ผู้ว่าท้องถิ่น” หรือ “ผู้ว่าราชการ” จังหวัดนั้นไม่ต้องรับผิดชอบอะไร...ไม่มีบทลงโทษใดๆ

ปัญหาฝุ่นจิ๋วพิษ “PM2.5” ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงเป็นวงกว้าง จำเป็นต้องมีมาตรการอย่างเป็นระบบครบทุกมิติทั้งในระยะสั้น ระยะยาว เพื่อแก้ไขปัญหาจาก...“ต้นตอ”.