ปัญหาความไม่เป็นธรรมที่ประชาชน “ถูกขังคุกทั้งที่ไม่ใช่ผู้กระทำผิด” สร้างความสูญเสียซึ่งอิสรภาพเสรีภาพในชีวิต เสียชื่อเสียง กระทบต่อสิทธิในการประกอบอาชีพ และครอบครัวเกิดขึ้นมากมาย

แต่ถ้าดูหลัก “การดำเนินคดีอาญา” มีจุดมุ่งหมายในการพิสูจน์ให้เห็นข้อเท็จจริงว่า “ผู้ถูกกล่าวหาเป็นผู้กระทำความผิดจริงหรือไม่” ซึ่งการพิสูจน์ก็ต้องทำตามหลัก ป.วิอาญาในชั้นศาลก่อนที่จะมีคำพิพากษาคดีนั้น

ถ้าหาก “เป็นคดีอัยการเป็นโจทก์” ตามหลักกฎหมายเรื่องนี้ต้องมีผู้ทำผิดแล้วร้องทุกข์ กล่าวโทษ หรือแจ้งความต่อ “พนักงานสอบสวน” เพื่อดำเนินการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานโดยชอบไม่ว่าจะเป็นพยานบุคคล พยานเอกสาร หรือพยานวัตถุ นำมาพิสูจน์ให้ทราบถึงลักษณะการทำผิดของผู้ถูกกล่าวหานั้น

หากมีหลักฐานน่าเชื่อว่า “ผู้ต้องหาเป็นผู้ทำผิด” พนักงานสอบสวนจะเสนอความเห็นควรสั่งฟ้องต่อ “อัยการ” ที่จะมีหน้าที่ตรวจสอบสำนวนการสอบสวนของตำรวจนั้น หากมีคำสั่งฟ้องก็จะนำคำฟ้องพร้อมตัวผู้ต้องหาไปยื่นฟ้องต่อศาล และนำพยานหลักฐานเข้าสืบ รวมถึงพยานบุคคลที่รู้เห็นเหตุการณ์ด้วย

...

แต่ถ้าปรากฏว่า “อัยการสั่งไม่ฟ้อง” ตามหลักให้ส่งสำนวนสอบสวนพร้อมคำสั่งเสนอ ผบ.ตร., รอง ผบ.ตร. ถ้าต่างจังหวัดส่งให้ผู้บัญชาการพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ ถ้าเห็นแย้งคำสั่งอัยการก็ส่งสำนวนพร้อมความเห็นแย้งไปอัยการสูงสุดเพื่อชี้ขาดนั้น คมเพชญ จันปุ่ม ประธานเครือข่ายทนายชาวบ้าน ให้ความเห็นว่า

ปกติในระหว่างการสืบสวน “เพื่อประโยชน์ในการรวบรวมพยานหลักฐาน” กฎหมายจะให้อำนาจตำรวจสามารถจับกุม ควบคุมตัวบุคคลที่ต้องสงสัยว่า “เป็นผู้กระทำผิด” แล้วยังมีอำนาจในการค้นสถานที่หาสิ่งที่อาจใช้เป็นพยานหลักฐาน และยึดสิ่งของนั้นไว้ หรือค้นเพื่อจับตัวบุคคลที่มีเหตุอันควรสงสัยว่าเป็นผู้ทำผิดได้ด้วย

แม้แต่กรณี “ปล่อยตัวชั่วคราว” ก็เป็นอำนาจพนักงานสอบสวนใช้ดุลพินิจจะให้ประกันหรือไม่ส่วนใหญ่มักวินิจฉัยตาม ป.วิ อาญา ม.108 มีหลักประกอบความหนักเบาแห่งข้อหา พยานหลักฐานที่ปรากฏแล้วมีเพียงใด พฤติการณ์แห่งคดีเป็นอย่างไร เชื่อถือผู้ร้องขอประกันหรือหลักประกันได้เพียงใด ผู้ต้องหาหรือจำเลยจะหลบหนีหรือไม่

ทั้งยังมีภัยอันตรายความเสียหายจากการปล่อยมีแค่ไหนโดยเฉพาะคดีอัตราโทษสูงอย่าง “โทษประหารชีวิต” พนักงานสอบสวนมักผลักให้ศาลพิจารณาประกันตัวหรือไม่ ในระหว่างนำผู้ต้องหาขออำนาจฝากขัง

การนำตัวเพื่อส่งศาลฝากขังนั้น “แบ่งตามอัตราโทษจำคุก” ตาม ป.วิอาญา ม.87 กรณีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงไม่เกิน 6 เดือน ฝากขังได้ไม่เกิน 7 วัน ศาลมีอำนาจสั่งขังได้เพียงครั้งเดียว “อัตราโทษจำคุกอย่างสูง 6 เดือน แต่ไม่เกิน 10 ปี” ฝากขังได้ครั้งละไม่เกิน 12 วัน แต่รวมกันต้องไม่เกิน 48 วัน

กรณีอัตราโทษจำคุกสูง 10 ปีขึ้นไป ศาลมีอำนาจสั่งขังติดกันได้ไม่เกิน 7 ครั้ง ครั้งละไม่เกิน 12 วัน รวมไม่เกิน 84 วัน ถ้าตำรวจส่งคำฟ้องไม่ทัน หรืออัยการไม่ได้ฟ้องก็ไม่มีอำนาจควบคุมจำเลย ต้องปล่อยตัวไปตามกฎหมาย

แล้วหากพนักงานสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานครบแล้ว “ต้องขออนุญาตฟ้องคดีต่ออัยการสูงสุด” ทั้งต้องนำตัวผู้ต้องหามาฟ้องด้วย “กรณีไม่พบตัวก็ไม่อาจฟ้องคดีได้” ต้องขอศาลออกหมายจับเพื่อตามล่าตัวมาฟ้องตามอายุความของคดีนั้น ถ้าขาดอายุความไปจะไม่สามารถฟ้องคดีได้ตาม ป.อาญา ม.95

ทว่าการขอปล่อยชั่วคราวสามารถทำได้ตั้งแต่ “ชั้นฝากขัง” เมื่อผู้ต้องหาถูกตำรวจ หรืออัยการนำตัวมาขออนุญาตฝากขังระหว่างที่ยังสอบสวนไม่แล้วเสร็จ ในส่วนกรณี “ศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกา” เมื่อผู้ต้องหาถูกอัยการฟ้องต่อศาลแล้วก็จะเปลี่ยนฐานะเป็น “จําเลย” มีสิทธิขอปล่อยตัวชั่วคราวต่อศาลได้เช่นกัน

สำหรับกรณี “การสั่งไม่ให้ปล่อยชั่วคราว” มักยึดหลักตาม ป.วิอาญา ม.108/1 อันจะกระทำได้ต่อเมื่อมีเหตุอันควรเชื่อเหตุใดเหตุหนึ่งคือ 1.ผู้ต้องหาหรือจำเลยจะหลบหนี 2.กรณีจะไปยุ่งเหยิงพยานหลักฐาน 3.กรณีจะไปก่อเหตุอันตรายประการอื่น 4.ผู้ร้องขอประกันหรือหลักประกันไม่น่าเชื่อถือ

และ 5.การปล่อยชั่วคราวจะเป็นอุปสรรค หรือก่อให้เกิดความเสียหายต่อการสอบสวน หรือการดำเนินคดีในศาล ส่วนผู้มีสิทธิยื่นคำร้องขอปล่อยทำได้ตั้งแต่ผู้ต้องหา บุพการี ผู้สืบสันดาน สามี ภริยา ญาติพี่น้อง

กรณีไม่มีเงินประกันตัวสามารถขอความช่วยเหลือจาก “กองทุนยุติธรรม กระทรวงยุติธรรม” สำหรับคดีฟ้องโดยอัยการทำได้ตั้งแต่ชั้นสอบสวน แต่หากคดีประชาชนตั้งทนายฟ้องทำได้ต่อเมื่อศาลรับฟ้องคดีแล้ว

...

ประเด็นกรณี “ศาล” เชื่อว่าจำเลยทำผิดก็จะพิพากษาลงโทษตามกฎหมายแต่หากเห็นว่าจำเลยไม่ได้ทำผิดปราศจากข้อสงสัย หรือมีเหตุสงสัยยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย “ศาล” จะพิพากษายกฟ้องปล่อยตัว

แต่ถ้าดูกรณี “ยกฟ้องโดยปราศจากข้อสงสัย” ด้วยคดีอาญาบ้านเราเป็นระบบกล่าวหา “ฝ่ายโจทก์มีหน้าที่นำสืบ” แต่การสืบน้ำหนักพยานหลักฐานไม่พอลงโทษจำเลย “ศาล” อาจยกฟ้องปราศจากข้อสงสัยได้

ดังนั้น “ผู้ถูกคุมขังระหว่างพิจารณาคดี” ย่อมมีสิทธิขอรับเงินชดเชยจากกองทุนยุติธรรมตามอัตราขังแทนค่าปรับตาม ป.อาญาจะอยู่ที่ 500 บาท/วัน และอาจจะใช้สิทธิเรียกร้องขอความเป็นธรรมจากตำรวจชุดจับกุมทั้งคดีอาญา และคดีแพ่งที่ต้องสูญเสียอิสรภาพจากการถูกดำเนินคดีอาญา และถูกจองจำไม่ได้รับประกันตัวนั้น

ถัดมาหากเป็นกรณี “ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย” ที่เกิดจากมีข้อสงสัยอันสมควรอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นมาซึ่งผู้ต้องหาอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดนั้นด้วยก็ได้ “เพียงแต่พยานหลักฐานไปไม่ถึง” กลายเป็นเหตุแห่งความสงสัยบางอย่างเลยยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย ยกฟ้องโจทก์ปล่อยจำเลยไป

กรณีนี้จะไปเรียกร้องขอความเป็นธรรมจาก “ตำรวจชุดจับกุม” ที่ปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริตชอบด้วยกฎหมายคงเป็นเรื่องยาก แม้แต่การใช้สิทธิขอรับเงินชดเชยจากกองทุนยุติธรรมก็อาจจะเข้าหลักเกณฑ์หรือไม่ แต่สิ่งที่จะสามารถใช้สิทธิได้จากการถูกละเมิดตาม ป.พ.พ.ม.420 ที่เกี่ยวกับการฟ้องดำเนินคดีอันเป็นการแจ้งความเท็จนั้น

ฉะนั้นการฟ้องคดีอาญา “เป็นเรื่องการจำกัดสิทธิเสรีภาพของบุคคล” แม้เป็นคดีเล็กน้อยก็ส่งผลต่อผู้ถูกกล่าวหา จำเป็นต้องปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด และเป็นธรรม มิเช่นนั้นสังคมก็จะยังคงเห็นใครต่อใครต้องตกเป็นแพะรับบาปทั้งที่ไม่ใช่ผู้กระทำผิดเกิดขึ้นอยู่เรื่อยไป.

...

คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม