สถานการณ์ฝุ่นพีเอ็ม 2.5 ตั้งแต่เข้าฤดูหนาว วัยรุ่นแย้มฝาโลงรุ่นผมก็เชื่อฟัง เป็นเต่าหดหัวอยู่ในกระดอง...ที่จริง ตงิดๆในใจ อากาศ สีส้มในสวนจตุจักร ห่างบ้านแค่ 700 เมตร จะต่างกันตรงไหน?
อากาศในรถเมล์ในรถไฟฟ้า...ที่นายกฯอิ๊งค์กรุณาให้ชาวบ้านขึ้นได้ฟรี จะดีกว่าการอยู่ในบ้านอย่างไร?
ในกระแสฝุ่นสีส้มอมสีแดง ระดับผู้นำ “รับมุก” หวาดหวั่นกันไปทั่วบ้านทั่วเมือง มีผู้รู้อย่างน้อยก็เปิดตัวพูดแล้วสองคน คนที่สองผมจำชื่อท่านไม่ได้ คนแรก คุณหมอ มนู ลีเชวงวงศ์ โรงพยาบาลวิชัยยุทธ
หมอออกมาย้ำ ความรู้ ความเชื่อของท่านหนักแน่น...ฝุ่นพิษน่ะ! มันเป็นอย่างนี้มาร้อยปีแล้ว เพียงแต่เมื่อก่อนเรายังไม่รู้ เราก็ไม่กลัว
หมอมนูมีตัวเลข เกิด ป่วย ตาย ช่วงหลังๆที่เรารู้จักฝุ่นพิษ คนกลับอายุยืนมากกว่า สุขภาพโดยรวมก็ดีกว่าคนสมัยที่ยังไม่รู้จัก หมอตั้งใจบอกให้ อย่ากลัวจนลนลานเกินไป
ไม่ว่ากันเฉพาะวงเล็กๆในกรุง...ออกไปวงใหญ่ ไกลถึงเชียงใหม่ เชียงราย...เอ้า!ไปให้ถึง แม่ฮ่องสอน
ราวปี 2513 ผมเป็นนักข่าวยะลา...ในวงสนทนาครั้งหนึ่ง มีข้าราชการ กรมประชาสงเคราะห์ระดับจังหวัดสองคน คุยเรื่องครื้นเครงสมัยรับราชการแม่ฮ่องสอน
เชียงใหม่แม่ฮ่องสอน มีเครื่องบินยี่ห้อดาโกต้าเก่าขนาดใช้ผ้าขาวม้ามัดประตู โดยสารมาตัดผมที่เชียงใหม่ เพราะตลาดแม่ฮ่องสอนตอนนั้น...ร้านตัดผมยังไม่มี
ทั้งจังหวัดมีสำนักผู้หญิงบริการแห่งเดียว...ข้าราชการใหญ่ กลาง เล็กๆ ก็มักเผลอไปเจอกัน
ร้านกาแฟก็ร้านเดียวกติกาคอกาแฟต้องรู้ สั่งกาแฟร้อน...ต้องสั่งพร้อมกันเจ็ดแก้ว ร้านเปิดนมข้นหนึ่งกระป๋องชงหมด เถ้าแก่จึงจะขายไปคนสองคน เป็นอันแน่ใจได้ว่าไม่ได้กิน
แม่ฮ่องสอน พ.ศ.นั้น ต่อเนื่องที่นักข่าวรุ่นผมไปถึงเมื่อยี่สิบสามสิบปีที่แล้ว...ยังเป็นเมืองในฝัน...ไม่เพียงเป็นเมืองตำนานแห่งหุบเขาลำเนาไพร ยังมีเสน่ห์หายาใจ เปลี่ยนหมอกได้ปีละสามฤดูกาล
...
ใครไปถึงแล้วคงไม่ลืมชื่อ “เมืองสามหมอก” ได้หรอก!
ตอนที่เรายังไม่มีเครื่องวัดคุณภาพอากาศ ไม่ว่าแม่ฮ่องสอน เชียงราย เชียงใหม่...มาถึงกรุงเทพฯ ผมน่ะ!ยึดสวนจตุจักร เป็นที่เดินวิ่ง
มาตั้งแต่เริ่มตั้งเมื่อปี 2526 เดินมาจนมีสวนรถไฟ มีสวนสิริกิติ์...เดินเมื่อไหร่ ก็ได้ความร่มรื่นชื่นใจกลับบ้าน
จนเมื่อกี่ปีมาแล้ว...ไม่อยากจำ เมื่อความรู้เรื่องฝุ่นพีเอ็ม 2.5 มีเข้ามา การเดินการวิ่ง...เริ่มลดความสุขสนุกไปเพราะเริ่มระแวงแคลงใจ ตัวเลขฝุ่นพิษวันนั้น สีอะไร สีเหลือง สีส้ม หรือสีแดงหวา!
มีหลายครั้ง ผมฮึก...ฝืนคำทัก...ไปวิ่งไปเดินสบายๆ...แต่ก็ฮึกได้ไม่นาน ความฮึกลดลงเป็นความเหี่ยว...กลัวจะลดจำนวนวันตาย...ตามที่ทางการเขาโหมประโคมโฆษณา
รัฐบาลคุมคนไทยกันเองเผาซากพืชไร่ เผาป่า ไม่ไหว สถานการณ์บานปลายถึงขั้นอยากไปคุมประเทศเพื่อนบ้าน...ที่เขาก็เผากันตามประสา เผากันเหมือนชาวไร่ชาวนาไทย ซึ่งก็เผากันมาแต่ไหนแต่ไร
ด้วยพื้นฐานประสบการณ์คนแก่นี่เอง เมื่อผมอ่านที่หมอมนู เขียน...ผมก็เทน้ำหนักปักใจเชื่อท่าน จนอยากจะเรียกร้องให้รัฐบาล ท่านทบทวนให้จริงจัง...เราอยู่กันแบบไม่ตาย ไม่เจ็บ ไม่ป่วย มาเป็นร้อยปีแล้ว
แค่เรื่องเมืองสามหมอกแม่ฮ่องสอน ทั้งสามหมอกกลายเป็น “ฝุ่นพิษ” ไปหมด ก็ปวดร้าวมากขึ้นอีก
หากเรามีความรู้ก้าวหน้าไปอีกขั้นขั้นพอแน่ใจ ฝุ่นพิษเป็นเรื่องมโนกันเกินไป ทั้งประเทศไทยคงเบาปัญหา “หนักบ่า” ไปได้ข้างหนึ่ง
ผมเชื่อของผมว่าความรู้เรื่องฝุ่นพิษ ทำร้ายทำลายความรู้สึกดีที่เคยมีเช่นเดียวกับ ความก้าวหน้าเรื่องเอไอ ที่จีนขยับแซงอเมริกา ...กำลังทำให้มนุษย์แท้ๆเพิ่มความทุกข์ เพราะอยู่ใต้อำนาจของมนุษย์เทียมคือหุ่นยนต์.
กิเลน ประลองเชิง
คลิกอ่านคอลัมน์ “ชักธงรบ” เพิ่มเติม