ติดคุกฟรียังเป็นปัญหา “ในกระบวนการยุติธรรม” ที่เกิดขึ้นบ่อยในสังคมไทยจากผู้ต้องหา หรือจำเลยไม่ได้รับการประกันตัวระหว่างสู้คดีไม่ว่าจะเป็นเจ้าตัวไม่มีหลักทรัพย์หรืออัตราโทษสูงจนต้องถูกนำตัวไปขังในเรือนจำร่วมกับนักโทษ แล้วบางกรณีอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องหรือศาลพิจารณายกฟ้อง
กลายเป็นว่า “บุคคลนั้นต้องสูญเสียอิสรภาพ” แม้ภาครัฐจะมีเงินชดเชยให้ผู้ที่สูญเสียอิสรภาพโดยไม่มีเหตุอันควร แต่ว่าเงินชดเชยนั้นก็เทียบไม่ได้กับโอกาสหน้าที่การงานที่เสียไปหรือชีวิตครอบครัวที่ต้องพังทลายลง
ถ้าดูประเทศปกครองในระบอบประชาธิปไตยจะแบ่งแยกอำนาจฝ่ายนิติบัญญัติ บริหารและตุลาการ แล้วการจับกุมผู้กระทำความผิดในคดีอาญามักใช้อำนาจทางฝ่ายบริหารจึงต้องใช้หลักสันนิษฐานไว้ว่า “บุคคลย่อมเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะพิสูจน์ได้ว่ามีความผิด” ซึ่งรัฐธรรมนูญ 2560 (รธน.2560) บัญญัติไว้ใน ม.29 วรรคสอง
ในคดีอาญาให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยไม่มีความผิด ก่อนมีคำพิพากษาถึงที่สุดอันแสดงว่าบุคคลใดกระทำความผิดจะปฏิบัติต่อบุคคลนั้นเสมือนเป็นผู้กระทำความผิดมิได้ ในเรื่องนี้ ผศ.ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล ผอ.ศูนย์นิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้ความเห็นว่า

...
หากดูบท ม.29วรรคสอง มี 2 เรื่องสำคัญคือ 1.สันนิษฐานไว้ก่อนว่าไม่มีความผิดก่อนมีคำพิพากษา เมื่อผู้ต้องหาหรือจำเลยยังเป็นผู้บริสุทธิ์ “จึงมีสิทธิสู้คดีนอกคุก” จะนำไปขังคุกก่อนมีคำพิพากษามิได้ 2.ก่อนมีคำพิพากษาจะปฏิบัติเหมือนเป็นผู้ทำผิดมิได้แล้วจะนำตัวผู้นั้นไปขังคุกซึ่งเป็นสถานที่มีไว้ลงโทษก็ย่อมทำไม่ได้
ส่วนเหตุข้อยกเว้นไม่ให้ประกันตัวตาม “รธน.2560 ม.29 วรรคสาม” คือ ในการควบคุมหรือคุมขังผู้ต้องหา หรือจําเลยให้กระทําได้เพียงเท่าที่จําเป็น “ดังนั้นกรณีบุคคลนั้นมีพฤติกรรมจะหลบหนี” ศาลท่านอาจจะไม่อนุญาตให้ประกันตัวก็ได้ “แต่จะนำไปขังคุกมิได้” เพราะจะเป็นการปฏิบัติอย่างผู้กระทำความผิดแล้ว
ปัญหาว่า “ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ป.วิ.อาญา)” เป็นระบบกล่าวหาสันนิษฐานไว้ก่อนว่า “กระทำความผิด” ประกาศบังคับใช้มาตั้งแต่ปี 2478 ขณะที่หลักสันนิษฐานไว้ก่อนว่า “บริสุทธิ์” เกิดขึ้นครั้งแรกตาม รธน.2492 ทำให้เห็นว่าหลักสันนิษฐานไว้ก่อนว่ากระทำความผิดมาก่อนหลักสันนิษฐานว่าบริสุทธิ์
แต่ว่าตำรวจจับกุมผู้ทำผิด “มักตั้งข้อหาควบคุมตัวเลย” แถมการขอประกันตัวกลับให้เป็นหน้าที่ผู้ต้องหาต้องดำเนินการเอง เรื่องนี้สวนทางกับในหลายประเทศอันมีหลักสันนิษฐานไว้ก่อนว่าบริสุทธิ์ “ด้วยการขังชั่วคราว” แล้วเป็นหน้าที่ของตำรวจในการพิสูจน์ให้ศาลเห็นเหตุผลใดจึงไม่ให้ผู้ต้องหาได้รับการประกันตัวนั้น
ทำให้เห็นว่า “ป.วิ.อาญาไทยไม่สอดคล้อง รธน.” อย่างที่กล่าวไปหลักสันนิษฐานไว้ก่อนว่าบริสุทธิ์เกิดปี 2492 หลัง ป.วิ.อาญาบังคับใช้ 14 ปี มีแผนปรับแก้ตลอดเพียงแต่ รธน.ถูกฉีกจน ป.วิ.อาญาไม่ได้แก้จนถึงทุกวันนี้
ประการถัดมา “ไทยไม่มีสถานที่กักขัง” ด้วยกฎหมายเป็นหลักสันนิษฐานไว้ก่อนว่า “ทำผิด” ทำให้ไม่มีสถานกักขังแยกออกจากคุกกลายเป็นผู้ต้องหาที่ไม่ได้ประกันตัวถูกส่งเข้า “เรือนจำ” ถูกปฏิบัติดั่งนักโทษทุกประการ
ถ้าเปรียบเทียบกับต่างประเทศอย่าง “เยอรมนี ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น” หากผู้ต้องหาที่ไม่ได้รับการประกันตัวส่วนใหญ่มักนำตัวไปยัง “สถานที่กักขังพิเศษ” ลักษณะคล้ายกับโรงแรมสามารถใช้ชีวิตประจำวันเหมือนพลเรือนปกติเพียงแต่ “ถูกจำกัดพื้นที่” เพื่อไม่ให้เป็นการปฏิบัติเหมือนดั่งเขาเป็นเสมือนผู้กระทำผิดแล้ว
เพราะหากอัยการหรือศาลมีคำสั่งไม่ฟ้องคดีอย่าง “ดาราที่ถูกกล่าวหาฉ้อโกง” ที่ตั้งคำถามต่อว่าตำรวจจะรับผิดชอบอะไรบ้างจาก “การคัดค้านการประกันตัวจนติดคุกสูญเสียอิสรภาพ” ดังนั้น เมื่อกฎหมายไทยไม่ต้องมีการรับผิดชอบใดๆ ทำให้หลายคดีก็คัดค้านการประกันตัวหรือการไม่ให้ประกันอย่างไม่ระมัดระวังกัน

ตอกย้ำต่อ “เหตุไม่ให้ประกันตัว” ถ้าดูตาม รธน.2560 ม.29 วรรคสาม “ผู้ต้องหาต้องมีพฤติกรรมหลบหนี” แต่ย้อนกลับมาดู ป.วิ.อาญา ม.108/1 กำหนดเหตุไม่ให้ประกันตัวไว้ 5 ประการ คือ 1.ผู้ต้องหาหรือจําเลยจะหลบหนี 2.ผู้ต้องหาจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน 3.ผู้ต้องหาหรือจําเลยจะไปก่อเหตุอันตรายประการอื่น
...
ข้อ 4.ผู้ร้องขอประกันหรือหลักประกันไม่น่าเชื่อถือ 5.การปล่อยจะเป็นอุปสรรค หรือก่อให้เกิดความเสียหายต่อการสอบสวน หรือการดําเนินคดีในศาล “แต่เรามักได้ยินคดีโทษสูงเป็นเหตุไม่ให้ประกันตัวเสมอ” จึงถามว่าหลักนี้อยู่ใน ป.วิ.อาญาหรือไม่ เพราะอัตราโทษสูงเป็นการตั้งข้อหาของตำรวจโดยยังไม่มีการพิสูจน์ข้อเท็จจริง
ถ้าเวลาต่อมา “อัยการสั่งไม่ฟ้องหรือศาลยกฟ้อง” จะส่งผลให้บุคคลนั้นต้องสูญเสียอิสรภาพที่ต้องเผชิญการถูกจำกัดเสรีภาพ “เจอเรื่องแย่ๆ” สิ่งนี้จะคืนให้เขาอย่างไร แม้ “ภาครัฐ” จะมีเงินเยียวยาแต่ก็น้อยมาก
สิ่งนี้กำลังสะท้อนว่า “รธน.” กำหนดข้อยกเว้นไม่ให้ประกันตัวเพียง “ผู้ต้องหามีพฤติกรรมหลบหนี” อันเกี่ยวข้องกับสิทธิเสรีภาพแต่ “ป.วิ.อาญา ม.108/1” มีข้อยกเว้นงอกเพิ่มขึ้นมาจาก รธน.อีก 4 เรื่อง
การแก้ไขเรื่องนี้แก้ไม่ยากเพียงแค่ “ทำตาม รธน.ม.29” ด้วยการให้ทุกคนยังบริสุทธิ์จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษา และจะปฏิบัติเหมือนกับเขาเป็นผู้กระทำผิดไม่ได้ “หากไม่ได้รับการปล่อยชั่วคราวตาม ป.วิ.อาญา ม.108/1” ต้องมีสถานกักขังที่ไม่ใช่คุกสำหรับการควบคุมตัวระหว่างการพิจารณาของศาลไม่ให้หลบหนีเท่านั้น
เพื่อไม่เป็นการละเมิดสิทธิผู้ถูกกล่าวหาที่บ่อยครั้งมักปรากฏว่า “บุคคลนั้นเป็นแพะ” ตามตัวเลขคดีอาญาผู้ต้องหา หรือจำเลยถูกขังในเรือนจำระหว่างรอพิพากษาในเดือน ธ.ค.2567 มีอยู่ 7 หมื่นคน คิดเป็น 25.5% ทำให้เป็นปัญหานักโทษล้นคุก “เป็นปัญหาต้องแก้เร่งด่วน” ที่เป็นการไม่ให้คนที่ไม่ใช่นักโทษต้องเข้าไปอยู่ในคุกด้วย
แล้วข้อสังเกตช่วงหลังมานี้ “คดีกระทบสังคมวงกว้าง” มักมีแนวโน้มผู้ต้องหาถูกพิพากษากลายๆของกระแสสังคมสื่อ ดังนั้นกระบวนการยุติธรรมต้องใช้หลักกฎหมายและข้อเท็จจริงสู้คดีในศาลอย่างเป็นธรรม 2 ฝ่าย
...

ฉะนั้นทุกฝ่ายต้องเคารพตามหลักว่า “ทุกคนมีสิทธิสู้คดีนอกคุก” ถ้าผู้ต้องหาไม่มีพฤติกรรมหลบหนีควรได้รับการประกันตัวตามสิทธิ หากจำเป็นไม่ให้ประกันตัว “ต้องมีสถานที่กักขังที่ไม่ใช่คุก” สิ่งนี้ทำได้ไม่ยาก เริ่มต้นจากการตั้งงบประมาณ และใช้สถานที่ราชการที่มีความพร้อมปรับปรุงใหม่ ลักษณะคล้ายการตั้งโรงพยาบาลสนาม
เรื่องนี้ไม่ใช่สิ่งไกลตัว “เกิดขึ้นได้กับทุกคน” แม้แต่ดาราคนดังก็ยังเกิดขึ้นอยู่เรื่อยๆอันเป็นปัญหาของกระบวนการยุติธรรมในทางอาญาของประเทศไทย สำหรับ “การปฏิบัติกับผู้ต้องหาเหมือนเป็นผู้กระทำผิดแล้วนำตัวไปคุมขังในเรือนจำ” ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่ควรมีใครต้องติดคุกก่อนศาลมีคำพิพากษา...
คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม