“ศัพท์” “ฝุ่น” ในหนังสือเล่ม อักษรศัพท์วินิจฉัย (สถาพรบุ๊คส์พิมพ์ พ.ศ.2567) อาจารย์ปรัชญา ปานเกตุ เขียนลงเฟซบุ๊ก 8 ก.พ.2566 ครับ ผมอ่านแล้ววันนี้ก็ยังทันสมัย จึงขอคัดลอกเอามาบอกต่อ

“ฝุ่น” หมายถึงดินแห้ง หรือสิ่งอื่นที่ละเอียดเป็นฝุ่น มีต่างๆ เช่น ขี้ฝุ่น เม็ดฝุ่น ฝุ่นละออง ฝุ่นผง ละอองฝุ่น

วรรณคดี ว่า “ธุลี” “บงสุ์” “บางสุ” “บางษุ” “ภัสมะ” หรือ “ภัสม์” หมายถึงฝุ่น เช่น ในมหาชาติคำหลวง กัณฑ์วนประเวศน์ “เมื่อนั้นนางก็ลูกบางษุบาท...”

หรือในบทละครเรื่องรามเกียรติ์ รัชกาลที่ 1 “จำจะฆ่าเสียด้วยตาไฟ ให้ม้วยไหม้เป็นภัสม์ธุลีกัลป์”

สมเด็จฯเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ประทานความรู้เรื่อง “สี” แก่ พระยาอนุมานราชธน (ยง เสฐียรโกเศศ) ว่า “จะพรรณนาถึงเรื่องสี”

ช่างชนิดต่างๆ เขายักย้ายทำไปด้วยวิธีต่างๆ สุดแต่จะเหมาะให้เป็นสี ไปตามภาษาโลก... เขาเรียกชื่อไปตามธาตุแห่งสี แม่สีขาว เรียก ฝุ่น อันสีขาวนั้นทราบว่าเคยมี 2 อย่าง คือ กะบังกับฝุ่น

กะบังนั้นสืบทราบว่าเป็นดินขาวแต่ฉันไม่เคยเห็น เขาว่า สีมัวกว่าฝุ่น จึงสันนิษฐานว่าแต่ก่อนใช้กะบังเป็นสีขาว ทีหลังได้ฝุ่นมาสีสดใสดีกว่า จึงใช้ฝุ่นเสียแทนเลิกใช้กะบัง

“ฝุ่น เป็นของหลวงมาแต่เมืองจีน เดิมเห็นจะใช้สำหรับผัดหน้า” (บันทึกความรู้ต่างเล่ม 3 วันที่ 18 พ.ย.2482)

ฝุ่นละอองที่ติดมากับเท้า เรียกว่า“ขี้ตีน” โดยปริยายหมายถึงสิ่งที่ต่ำค่าที่สุด เช่น ฝีมืออย่างนี้ไม่ได้ขี้ตีนเขาหรอก แม่อาจารย์ปรัชญาใช้ยิ่งกว่านั้น “เศษขี้ตีนร่วง” เช่น รวยแค่ไหนก็ไม่ได้เศษขี้ตีนร่วงๆของเขา

...

“เกลือกฝุ่น” หมายถึงกลิ้ง หรือเสือกตัวไปมากับฝุ่น “จูบฝุ่น” หมายถึงหกล้มหน้าคว่ำ “คลุกฝุ่น” หมายถึงหกล้มกลิ้งลงกับพื้นดินโดยปริยาย หมายถึง ถูกเตะหรือต่อยจนล้มกลิ้งลงกับพื้น

“เป่าฝุ่น” หมายถึงหกล้มหรือพลาดพลั้งอย่างไม่เป็นท่า “ปัดฝุ่น” หมายถึง ปัดเช็ดถูทำความสะอาด โดยปริยายหมายถึง นำสิ่งเก่ามาใช้ใหม่ หรือนำเรื่องเก่ามาคิดใหม่

แป้งเป็นผงละเอียด เรียก “แป้งฝุ่น” สีสำหรับระบาย ทำจากผงสีซึ่งมีลักษณะละเอียด เรียก “สีฝุ่น”

สัตว์ขาปล้อง ชนิดที่ทำให้เกิดอาการแพ้ในคน เรียก “ไรฝุ่น”

โบราณว่า “ฝุ่นเมือง” หมายถึง พลเมือง ราษฎร ดังตัวอย่างจากพระราชวิจารณ์จดหมายความทรงจำของพระเจ้าไปยิกาเธอ กรมหลวงนรินทรเทวี (เจ้าครอกวัดโพ)

ปจุบันกาลเกิดสงครามยุทธ์ เพียงแผ่นดินจะซุดล่มจมด้วยลมพยุไข้ วิบัติเปลือง ฝุ่นเมืองม้วยพินาศ รอดชีวาตน์ด้วยเท (วะ) วงษ ดำรงทรงปัตพินทร์ เปนปิ่นสุธาโลก ดับโรครงับเข็ญ กลับชุ่มเย็นรงับร้อน ผ่อนถึงพรหมลิขิต...

สำนวน “ไม่เห็นฝุ่น” หมายถึงนำลิ่วหรือล่วงหน้าไปไกล จนคนข้างหลังตามไม่ทัน สำนวน “ฝุ่นตลบ” หมายถึงเคลื่อนไหวอย่างสับสนอลหม่าน ภาษาปากว่า “เตะฝุ่น” หมายถึงว่างงาน ตกงานไม่มีงานทำ “วิจัยฝุ่น” ก็ว่า

อาจารย์ปรัชญา ค้นคว้าความหมายลึกๆเร้นๆของศัพท์สำนวนไทย...ให้ความรู้พวกเราแล้ว ท่านก็มักเขียนเรื่อง หักมุมจบ ด้วย “มุก” ที่โดนใจ

เขาก้าวฝ่าดงฝุ่นกับเปลวแดดแผดเผาเข้ามาในห้อง ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ พลางพ้อว่า

เขาคือต้นเหตุแห่งปัญญาฝุ่นพิษ PM 2.5 แห่งเดือนกุมภาพันธ์ และเขานั้นควรเป็นผู้กำซาบซับรับละอองธุลีไม่มีที่สิ้นสุดอสงไขย

เพราะความรักที่เขาประเคนมอบให้ใครต่อใคร มันแหลกสลายกลายเป็นฝุ่นไปหมดแล้ว

ใครที่รับมุกนี้ไม่ทัน ผมขออธิบายมุกนี้ของอาจารย์ที่มีต่อ นักการเมืองไทย ยังใช้การได้ ผ่านมาแล้วสองปี ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลย.


กิเลน ประลองเชิง

คลิกอ่านคอลัมน์ “ชักธงรบ” เพิ่มเติม