“กักตัวครบแต่ ATK ยังบวก... ทำไงต่อ? ความเห็นส่วนตัวนะครับ กักต่อจนกว่าจะลบ 2 วันติดกันนะครับ ATK ไม่ได้เจอซากเชื้อ”
ดร.อนันต์ จงแก้ววัฒนา นักไวรัสวิทยา สวทช. โพสต์แสดงความ คิดเห็นไว้ในเฟซบุ๊กส่วนตัวต่อเนื่องไปถึงประเด็นข้อสงสัยที่ว่า ผล ATK เป็นบวก แต่อาจจะเป็นซากเชื้อที่ตายแล้ว และ nucleocapsid protein...โปรตีนของไวรัสถูกปล่อยออกมาจากเซลล์ไวรัสทำให้เรา ตรวจเจอ ATK+ ก็ได้ใช่ไหม?
ดร.อนันต์ บอกว่า ไม่จำเป็นต้องเป็นเชื้อที่ยังมีชีวิตอยู่ ถ้าเป็นแบบนั้นจริงจะเป็นโปรตีนที่มีปริมาณสูงมากๆ เพราะ “ATK”...ตรวจโปรตีนที่มีอยู่จริง โดยไม่ได้เพิ่มจำนวนเหมือนสารพันธุกรรมแบบ PCR
ดังนั้น การอนุมานว่าเป็นโปรตีนที่ล่องลอยจะไม่ค่อยเกิดขึ้นครับ ส่วนใหญ่จะมาจากอนุภาคไวรัสที่มีโปรตีน N อยู่ และถ้ารักษาจนเชื้อ ตายหมดแล้ว แสดงว่า “RT–PCR” เป็นลบแล้วหรือเปล่าครับ
ถ้าเป็นเช่นนั้นก็เชื่อผลจาก RT–PCR

...
ถึงตรงนี้ขอทำความเข้าใจเรื่องความหมายของผลตรวจ “ATK เป็นบวก” เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนนะครับ ผมขออ้างอิงจากงานวิจัยหนึ่ง ซึ่งเป็นการศึกษาหาความสัมพันธ์ระหว่างผล RT-PCR, ผล ATK (Antigen Test) และความสามารถในการเพาะเชื้อไวรัสจากตัวอย่างที่ตรวจ
โดยทดสอบว่าไม่ใช่ซากเชื้อและไวรัสแพร่กระจายต่อไปได้ จากงานวิจัยชิ้นนี้ซึ่งทำการแบ่งกลุ่มออกเป็น 2 กลุ่ม ตามกราฟคือ Negative และ Positive ซึ่งหมายถึงกลุ่มที่เพาะไวรัสขึ้นและไม่ขึ้นในเซลล์เพาะเลี้ยงมาตรฐานในห้องปฏิบัติการ (ชื่อว่า VeroE 6/TMPRSS 2)
จากผลจะเห็นว่ากลุ่มที่สามารถเพาะเชื้อได้คือกลุ่มที่ได้ ATK เป็นบวกแทบทั้งสิ้น โดยระดับไวรัสที่น้อยที่สุดที่เพาะได้คือ 10,000 copies/ml ส่วนกลุ่มที่ ATK บวกแล้วเพาะไวรัสไม่ขึ้นคือมีระดับไวรัสที่ 1,000 copies/ml ซึ่งระดับนี้ ATK ส่วนใหญ่จะเป็นลบกันหมดแล้ว
ข้อมูลถัดมากราฟ B แสดงให้เห็นชัดว่า ส่วนสีเหลืองคือโซนที่ได้ผล ATK เป็นบวก เกือบจะทับกับโซนสีม่วง ซึ่งเป็นโซนที่เพาะไวรัสขึ้น แปลความหมายได้ว่า “ATK”...ที่เป็นบวกมีโอกาสสูงมากที่จะยังสามารถ เพาะเชื้อได้อยู่ครับ ไม่ได้ตรวจเจอซากเชื้อเหมือนที่เข้าใจกัน...
ดังนั้น...ถ้าผล ATK ออกมาเป็นบวกจึงมีความเสี่ยงที่จะแพร่ไวรัสออกมาได้อยู่ครับโดยเฉพาะไวรัสที่ติดง่าย ติดไว อย่าง BA.2 ยิ่งต้องระวังให้มาก
หมายเหตุ...โซนสีแดง คือ “RT–PCR” ซึ่งเป็นโซนที่มีความไวมาก ผลบวก RT-PCR 100% อาจไม่จำเป็นต้องเพาะเชื้อขึ้นก็ได้ ซึ่งนั่นเป็น สาเหตุที่ทำให้คิดว่า RT-PCR อาจไปจับชิ้นส่วนที่ไม่ใช่ไวรัสที่ไปต่อได้หรือซากเชื้อ แล้วเพิ่มปริมาณขึ้นมาได้ผลบวก
ส่วนโซนสีเขียวคือเซลล์ VeroE 6 ที่ใช้เพาะเชื้อ ถ้าไม่ไวพอ ก็จะเพาะเชื้อขึ้นมายาก ทำให้อาจเข้าใจผิดว่าไวรัสไปต่อไม่ได้
ถอดรหัสสายพันธุ์ไวรัส “โควิด-19” อัปเดตประเด็นความรู้เกี่ยวกับไวรัสลูกผสม “เดลตาบวกโอมิครอน” หรือ “เดลตาครอน” จริงๆมีเกิดขึ้นตั้งแต่เดือนมกราคมของปีนี้แล้ว เป็นช่วงที่เดลตายังไม่ลดลงมากและโอมิครอนกำลังขึ้น ซึ่งคนที่ติดสองสายพันธุ์พร้อมกันจึงมีอยู่มากพอสมควร

สายพันธุ์ที่เป็นข่าวคือ สายพันธุ์ที่ตรวจพบในฝรั่งเศส และทีมวิจัยของ WHO ออกมายอมรับว่าเป็นไวรัสลูกผสมของจริง ไม่ใช่การ ปนเปื้อนของสิ่งส่งตรวจ ไวรัสชนิดนี้มีส่วนด้านหน้าที่เป็นโปรตีนสำหรับเพิ่มจำนวนไวรัสเป็นของเดลตา (AY.4) และโปรตีนหนามสไปก์มาจาก โอมิครอน (BA.1)
นอกจากนี้ดูเหมือนจะพบไวรัสลักษณะคล้ายๆกันในเดนมาร์ก และเนเธอร์แลนด์ ยังไม่ชัดว่าเป็นไวรัสลูกผสมจากแหล่งเดียวกันแล้วแพร่กระจายข้ามประเทศ หรือเป็นไวรัสคนละสายพันธุ์ที่เกิดด้วย กลไกการแลกเปลี่ยนสายพันธุ์แบบใกล้เคียงกัน...
ประเด็นน่าสนใจมีว่า “ไวรัสชนิดนี้ยังไม่มีข้อมูลใดๆเรื่องความรุนแรง หรือคุณสมบัติที่โดดเด่นจนต้องจับตามอง เพราะพบมา 3 เดือนแล้วก็ไม่ได้มีอะไรที่โดดเด่นขึ้นมาครับ”
...
เนื่องจากเดลตาลดน้อยลงมาก การเกิดไวรัสแบบนี้คงพบได้ยากขึ้น ที่จะพบกันตอนนี้จะเป็น BA.1 กับ BA.2 มากกว่า ที่พบร่วมกันอยู่อย่างมากมายในประชากรมนุษย์ครับ
ดร.อนันต์ ย้ำว่า BA.2 เมื่อนำมาเพาะเชื้อในแล็บ ถ้ารู้วิธีเพาะ ในสภาวะที่เหมาะสมไวรัสจะโตได้ดีมาก ตัวอย่างนี้เพาะจากน้ำลายผู้ป่วยและเพาะในเซลล์เพียง 3 วัน ปริมาณของไวรัสที่เพาะขึ้นได้
ขนาดเจือจางไป 100 เท่า ขีดบน ATK ยังชัดมาก
แนวโน้มอาจเจือจางได้ถึง 1,000 เท่า ซึ่งบอกว่าไวรัสตัวนี้จาก น้ำลายเพียงน้อยนิดสามารถเพิ่มจำนวนได้ไวมากครับ และปริมาณไม่น้อยเลยทีเดียว...
พลิกแฟ้มย้อนดูข้อมูลเมื่อช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา อีกข้อมูลที่น่าสนใจคือเคส “ผู้ป่วยหนัก” และ “เสียชีวิต” จำนวนมากในฮ่องกงเป็นผู้สูงอายุที่ไม่ได้รับวัคซีน ผู้สูงอายุหลายคนในฮ่องกงยอมรับว่ากลัวติดโควิดแล้วจะมีอาการรุนแรง แต่หลายคนยังคิดว่ากลัวการฉีดวัคซีนมากกว่ากลัวผลข้างเคียงจากวัคซีน
ปัญหานี้ทำให้ฮ่องกงเหมือนจะพลาดโอกาสทองที่จะสร้างภูมิคุ้มกันให้กลุ่มประชากรที่อ่อนแอที่สุดไปแล้ว ตอนนี้คงต้องประคองสถานการณ์ไม่ให้เลวร้ายไปกว่านี้...ส่วนตัวคิดว่าข้อมูลที่สร้างความตื่นกลัวผ่านทางไลน์ หรือโซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุสร้างผลเสียได้ชัดมากในสถานการณ์นี้

...
รวมไปถึงความเชื่อที่ว่า โอมิครอนเป็นไวรัสที่เปลี่ยนแปลงไปแล้ว ไม่รุนแรงเหมือนเดิม ติดได้ก็รักษาได้ แต่ไม่ค่อยให้ข้อมูลว่าผลข้างเคียง จากวัคซีนความรุนแรงน้อยกว่านั้นมากๆ ในฐานะที่เป็นนักวิจัยรู้สึกหดหู่ครับ เมื่อเห็นผู้เชี่ยวชาญของประเทศนั้นๆพูดออกมาว่า...“elderly people will now have to pay the price”
ข้อมูลวันที่ 3 มีนาคม 2565 “ฮ่องกง” มีผู้ติดเชื้อโควิด 56,827 คน นับว่าสูงที่สุดตั้งแต่มีการเกิดขึ้นของไวรัส SARS-CoV-2 บนโลก มีผู้เสียชีวิตมากถึง 186 คน เทียบกับจำนวนประชากรในฮ่องกง 7.5 ล้านคน ตัวเลขนี้ถือว่าสูงมากๆ และบริบทของไวรัสตอนนี้ไม่เหมือนกับเมื่อ 2 ปีก่อนที่เรายังไม่มีวัคซีนโควิด-19
คำถามคือเกิดอะไรขึ้นในฮ่องกงวันนี้? อาจอนุมานได้ว่ามาจากผู้ติดเชื้อจากการเริ่มขึ้นทะยานของกราฟเมื่อ 1–2 สัปดาห์ที่แล้ว และถ้าเป็นเช่นนั้นผู้เสียชีวิตคาดว่าจะสูงกว่านี้
ข้อมูลของไวรัสในฮ่องกงตอนนี้พบว่าเป็นสายพันธุ์โอมิครอน 100% จากตัวเลขผู้เสียชีวิตที่มากขนาดนี้ทำให้ข้อมูลที่บอกว่า “โอมิครอน” ไม่ใช่เป็นไวรัสที่ไม่รุนแรง หรือจะเป็นตัวปิดเกม

...
“โอมิครอน”...แตกต่างจากไวรัสสายพันธุ์อื่นมากครับ เมื่อวัคซีนจากโอมิครอนมาใช้ภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์อื่นจะน้อยลงเมื่อเทียบกับวัคซีนจากสายพันธุ์ดั้งเดิมที่ใกล้กับสายพันธุ์ส่วนใหญ่มากกว่า
ดร.อนันต์ จงแก้ววัฒนา นักไวรัสวิทยา สวทช. ทิ้งท้ายว่า การใช้ วัคซีนแบบร่วมหลายสายพันธุ์น่าจะเป็นคำตอบของวัคซีนโควิดในอนาคต เพราะโอกาสจะใช้สายพันธุ์เดียวครอบคลุมทั้งหมดคงยากมากๆ
“แต่การนำวัคซีนมาใช้รวมกันในขวดเดียวกัน ก็จะมีคำถามต่างๆที่ต้องตอบ ปลอดภัยแค่ไหน? จำเป็นหรือไม่? มีใครทำหรือยัง? เยอะครับ คนพัฒนาวัคซีนจะทราบดีว่ามันไม่ง่าย”.