พุ่งเป้าไปที่ทวีปยุโรป ญี่ปุ่น อเมริกา...กำลังตื่นตัวกับการฝึกให้คนรุ่นใหม่ในประเทศเป็นมนุษย์สายพันธุ์ใหม่คือ “Active Citizen” หรือ “พลเมืองสร้างสรรค์”โดยเน้นที่นำเยาวชนอายุระหว่าง 12-18 ปี ในช่วงเวลาว่าง เช่น ปิดเทอม มาร่วมทำกิจกรรมปลูกฝังจิตสำนึกให้เป็นพลเมืองรุ่นใหม่ใส่ใจด้วยจิตสาธารณะ เพื่อเป็นอนาคตของประเทศต่อไป ย้ำว่า “Active Citizen” หมายถึง พลเมืองที่มีความรับผิดชอบต่อตัวเองและผู้อื่น มีจิตสาธารณะ เห็นแก่ประโยชน์ของสังคมเป็นหลัก ช่วยเหลือ และกระทำสิ่งต่างๆ โดยไม่มุ่งหวังผลตอบแทน เป็น “พลเมืองสร้างสรรค์” ซึ่งจะมีบทบาทในการร่วมขับเคลื่อนประเทศให้ก้าวเดินไปข้างหน้าใน “ทิศทางที่สร้างสรรค์”ประเด็นถัดมา...การปลูกฝังจิตสาธารณะให้ซึมซับให้ประชาชนตั้งแต่ยังเป็นเด็กและเยาวชนรุ่นใหม่จะทำให้คนในประเทศรุ่นต่อไปไม่ว่าจะ “ยากจน” หรือ “ร่ำรวย” แต่ทุกคนเป็นพลเมืองที่มีจิตอาสา ไม่นิ่งดูดายต่อปัญหาส่วนรวม มีจิตสำนึกรับผิดชอบต่อสังคม...สิ่งแวดล้อม...เป็นพลเมืองที่ดีที่เคารพกฎหมายและสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ“รัฐบาลในหลายประเทศทางยุโรป ญี่ปุ่น อเมริกา ส่งเสริมออกทุนให้เด็ก...เยาวชนในทุกเมืองเข้าค่ายร่วมทำกิจกรรมเพื่อสังคมในช่วงเวลาปิดเทอม โดยกิจกรรมดังกล่าวจะแฝงด้วยการฝึกอบรมที่เน้นให้เป็นพลเมืองสร้างสรรค์ ซึ่งนำไปสู่การเป็นประเทศพัฒนาทุกด้าน”อาทิ การหยุดรถให้คนข้ามบนทางม้าลาย ทิ้งขยะในถังขยะแยกประเภท เก็บขยะบนชายหาดเมื่อพบเห็น ช่วยเหลือคนแก่ที่ถือของหนัก ให้โอกาสคนพิการ เด็ก...ผู้หญิงก่อน จิตอาสาช่วยค้นหาคนหาย เข้าคิวซื้อของหรือขึ้นรถโดยสารประจำทาง เข้าร่วมเป็นอาสาสมัครด้านต่างๆเมื่อประเทศต้องการนับรวมไปถึงแสดงความคิดเห็นทางการเมือง ร่วมพัฒนาชุมชนและสังคม ทั้งหมดเหล่านี้จะถูกปลูกฝังไว้ในหัวตั้งแต่เป็นเด็ก...เยาวชนเมื่อเติบโตขึ้นจะนำไปสู่การเป็น “คนดี” มีจิตสาธารณะ...ถึงตรงนี้คำถามสำคัญตามมามีว่า “ประเทศไทย” ได้เริ่มต้นหรือยัง?เหลียวหลังกลับมามอง ประเทศที่ฝันถึง Net Zero, SDG, BCG Economy แต่ไม่แก้ไขปัญหา “สิ่งแวดล้อมพื้นฐาน”...อาจารย์สนธิ คชวัฒน์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ชมรมนักวิชาการ สิ่งแวดล้อมไทย มองว่า การที่ประเทศไทยจะพัฒนาเข้าสู่ “Net zero”... การไม่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศเพิ่มเติม และ การพัฒนาที่ยั่งยืนภายใต้นโยบาย BCG Economy หรือ เศรษฐกิจชีวภาพ, เศรษฐกิจหมุนเวียนและเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy)ข้างต้นเหล่านี้จึงเป็นคำพูดสวยหรูเอาไปสอนเด็กในมหาวิทยาลัยและคนทั่วไปเท่านั้น แต่ในสถานการณ์ที่เป็นจริงจะต้องแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมพื้นฐานที่ก่อกันไว้ให้ได้ก่อน...นับหนึ่ง...“ขยะชุมชน” ที่กองเป็นภูเขาอยู่ 1,667 แห่งทั่วประเทศ ส่งทั้ง “กลิ่นเหม็น” และ “น้ำเสีย” ในฤดูฝนและไฟไหม้ในฤดูร้อนนับสองที่...“ฝุ่นละออง PM 2.5” สูงเกินมาตรฐานในเขตเมืองและภาคเหนือในช่วงฤดูหนาวมาจากรถเครื่องยนต์ดีเซลเก่า น้ำมันไร้คุณภาพและการเผาในที่โล่งที่เกิดซ้ำซากมากว่า 5 ปีแล้ว...ยังแก้ไม่ได้นับสามที่...ลำน้ำที่เสื่อมโทรมและเน่าเสียมากในปี 2564 ได้แก่ ลำตะคองตอนล่าง, แม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่าง...สะแกกรัง...แม่น้ำระยองตอนล่าง และแม่น้ำกวง รวมทั้งคลองแสนแสบใน กทม.ยังแก้ไขไม่ได้ นับสี่...“กากอุตสาหกรรม” หายออกจากระบบกำจัด...หลังสิ้นปี 2563 มีกากอุตสาหกรรมอันตรายเกิดขึ้น 1.29 ล้านตัน และมีกากอุตสาหกรรมไม่อันตราย 16.63 ล้านตัน ซึ่งกากอุตสาหกรรมที่อันตรายเข้าระบบมีเพียงแค่ 1% ส่วนกากไม่อันตรายมีเข้าระบบเพียง 6.44 ล้านตัน...ที่เหลือไปกองอยู่ที่ไหนไม่มีใครรู้ แต่พบมีกรณีแอบทิ้งกากในที่สาธารณะเป็นประจำนับห้า...โรงงานสภาพเก่าแก่ตั้งอยู่อย่างหนาแน่นในเขตจังหวัดสมุทรปราการจำนวน 6,814 แห่ง โดยอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมเพียงแค่ 630 แห่ง ที่เหลือเป็นโรงงานนอกนิคมอุตสาหกรรม โรงงานเหล่านี้พร้อมเกิดอุบัติภัยได้ทุกเมื่อนับหก...แผนปฏิรูปประเทศไทยมีนโยบายจะถอดพื้นที่อุตสาหกรรมมาบตาพุดออกจากการเป็นเขตควบคุมมลพิษภายในปี 2565 เพื่อรองรับการพัฒนา EECทั้งๆที่ทุกวันนี้ไอระเหยสารอินทรีย์ที่เป็นสารก่อมะเร็งบางตัวยังเกินมาตรฐานอยู่ เกิดไฟไหม้ระเบิดของโรงงานในพื้นที่อยู่เนืองๆ รวมทั้งกรณีน้ำมันดิบรั่วไหลซ้ำซากยังแก้ไม่ได้นับเจ็ด...พื้นที่ EEC ใน 3 จังหวัดภาคตะวันออก ระยอง ชลบุรี ฉะเชิงเทรา มีขยายพื้นที่ประเภทอุตสาหกรรมรุกเข้าไปพื้นที่ทำกินของชุมชน แหล่งท่องเที่ยว เปลี่ยนสีผังเมืองเป็นว่าเล่น...แถมยกเว้นกฎหมายไม่ต้องขออนุญาตอีก 8 ฉบับ อำนวยความสะดวกให้ทุกอย่างแต่พบว่าอุตสาหกรรม 10 ประเภท Super cluster ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมตามที่คาดหวังไว้กลับไม่มีใครมาลงทุน มีแต่โรงงานประเภทรีไซเคิลขยะและโรงไฟฟ้าขยะที่เข้ามาขอตั้งจำนวนมาก...แก้ปัญหาพื้นฐานเหล่านี้ไม่ได้อย่าเพิ่งไปฝันถึง Net Zero, SDG และ BCG Economy เลย?สารพัดสารพันปัญหาสิ่งแวดล้อมรายรอบเช่นนี้ อาจารย์สนธิ ย้ำว่า อย่างกรณีค่าชดเชยกับอาชีพประมงกรณีน้ำมันรั่วที่จังหวัดระยองก็กลายเป็นหนังชีวิต?เมื่อไม่นานนี้การเจรจาก็ล่มอีกครั้งเป็นครั้งที่ 3 บริษัทบอกจ่ายก่อน 30,000 บาทแล้วค่อยคุยกันใหม่ แต่กลุ่มประมงต้องการให้บริษัทตัดสินใจเลยว่าจ่ายทั้งก้อนเท่าไหร่...สุดท้ายเวทีล่มย้อนไปกรณีน้ำมันรั่วไหลลงทะเลเมื่อปี 2556 ศาลแพ่งอุทธรณ์ สั่ง “พีทีทีซีจี” จ่ายชดเชยให้ชาวประมงรายละ 1.5 แสนบาท ดังนั้นควรนำคำพิพากษาของศาลมาเป็นบรรทัดฐานเบื้องต้นในการที่จะให้บริษัท SPRC จ่ายค่าชดเชยให้ชาวประมงหลังจากทำน้ำมันรั่วในปี 2565คิดแบบประชาชนเวลาผ่านไป 9 ปี ธนาคารแห่งประเทศไทยแจ้งว่าอัตราเงินเฟ้อเกิดขึ้นปีละประมาณ 3.5% หากคิดทบต้นเงินรวมที่ควรได้รับบวกค่าเสียโอกาสอื่นๆ รวมแล้วอย่างต่ำ 210,000 บาทต่อรายความเป็นธรรมอยู่ตรงไหน? น้ำมันรั่ว จ.ระยอง คำถามสำคัญคือเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า หลักการ “ผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย (Pollutor pay principle)”...ใช้ได้จริงหรือไม่? เท่าไหร่จึงจะเป็นธรรม?...บริษัทก็อาจจะใช้กลยุทธ์ยืดเวลาจ่ายให้นานที่สุด “หากอยากได้ไปฟ้องเอา?” ทิ้งท้ายในอีกประเด็นสำคัญเกี่ยวโยงกับอนาคตสิ่งแวดล้อมไทยไม่มากก็น้อย นั่นก็คือย้อนไปก่อนหน้านี้ หากยังจำกันได้ กรณีเหตุการณ์ท่อแก๊สระเบิด ที่ตำบลเปร็ง อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2563 มีผู้เสียชีวิต 5 คน บ้านเรือนนับสิบ สถานที่ราชการ ผู้คนได้รับอันตรายจำนวนมากข้อมูลที่สื่อสะท้อนเผยแพร่ในโลกออนไลน์มีว่า “ผ่านมาปีกว่ายังหาสาเหตุการระเบิดไม่พบ ข้อสรุปอย่างเดียวที่ได้คือ เมื่อคุณตายโหงจะได้ค่าหัวคนละ 5 ล้าน ลูกหลานได้บ้านใหม่ และประชาชนคนไทยหลายล้านชีวิตจงเชื่อ (ง) และนอนอยู่บนความเสี่ยงท่อแก๊สระเบิด...ต่อไป?” ถึงวันนี้มีแผ่นป้ายไวนิลโครงการศึกษาแค่หาปัจจัยนะครับ สาเหตุไม่ฟันธงของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และไซต์งานก่อสร้างเครื่องจักรหนักซึ่งอันที่จริงนั่นคือกระบวนการเตรียมซ่อมท่อเพื่อใช้งาน? ป.ล. เบอร์โทร. QR Code ใช้งานไม่ได้ พยายามติดต่อผ่านมาจะ 1 สัปดาห์แล้ว ไม่รับไม่ตอบกลับ...ติดป้ายไว้เพื่อสับขาหลอก?สิ่งแวดล้อมเมืองไทย อนาคตประเทศไทยจะพัฒนาไปอย่างไร... อรุ่มเจ๊าะจริงๆ.