เหตุการณ์กลุ่มอันธพาลหัวร้อน ตามไล่ล่าเช็กบิล “คู่อริ” ไปจนถึงในโรงพยาบาล ที่ยังมีลักษณะพฤติกรรมกร่างบ้าคลั่งท้าทาย ไม่เกรงกลัวต่อกฎหมายบ้านเมือง กลายเป็นความรุนแรง ที่มักเกิดบ่อยซ้ำซากถี่ขึ้นทุกวันย้อนหลังในช่วง 7 ปีก่อนนี้...ก็มีข้อมูลกระทรวงสาธารณสุข ระบุเกี่ยวกับเหตุการณ์ความรุนแรงในสถานพยาบาล ตั้งแต่ปี 2555-2562 พบว่า มี 51 เหตุการณ์ แบ่งเป็นทะเลาะวิวาท 15 เหตุ ทำร้ายเจ้าหน้าที่ 29 เหตุ ทำลายทรัพย์สิน 1 เหตุ ก่อความไม่สงบ 1 เหตุ กระโดดตึก 6 เหตุ และอื่นๆ 6 เหตุผลความรุนแรงนี้ทำให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขเสียชีวิต 3 ราย บาดเจ็บ 13 ราย ประชาชนเสียชีวิต 7 ราย บาดเจ็บ 43 ราย เมื่อแยกเป็นรายปี 2555 และปี 2557 ทั่วประเทศเกิดเหตุ 1 ครั้ง ปี 2556 ไม่เกิดเหตุในปี 2558 เกิดเหตุ 7 ครั้ง ปี 2559 จำนวน 4 ครั้ง ปี 2560 จำนวน 10 ครั้ง ปี 2561 จำนวน 17 ครั้ง และปี 2562 เกิดเหตุ 12 ครั้ง คราวนี้อุกอาจถึงขั้นลงมือ “ชกทำร้ายแพทย์หญิงและพยาบาล” เพราะเข้าใจผิดไม่พอใจ “แพทย์รักษาล่าช้า” เป็นเหตุให้ “เพื่อนถูกคู่อริใช้อาวุธแทงเสียชีวิต” ก่อนยกพวกตามไป “รุมยำทำร้ายคู่อริ” ที่กำลังรักษาตัวอยู่อีกโรงพยาบาล จนทำเอา “แพทย์ พยาบาล และคนไข้” ต่างแตกตื่นหนีตายกันจ้าละหวั่นนับเป็นความรุนแรงไม่น่าเกิดขึ้นในสังคมไทย เพราะแม้แต่ใน “สมรภูมิสงคราม” ยังมีข้อกำหนดให้ “โรงพยาบาล” เป็นพื้นที่ยกเว้นหลัก “ห้ามใช้กำลังทางทหาร”...ไม่ทำลายสถานพยาบาล หรือบุคคลทางการแพทย์แต่กลับมี “กลุ่มอันธพาลครองเมือง” ไม่สนใจกฎกติกานี้ที่ทำลายทิ้งไปโดยสิ้นเชิงสะท้อนว่า...ยังมีความรุนแรงเกิดขึ้นในโรงพยาบาลค่อนข้างมาก แสดงให้เห็นถึงปัญหาความไม่ปลอดภัย ที่อาจจะเกิดขึ้นกับประชาชน และบุคลากรของโรงพยาบาลตามมาด้วย...แม้ว่า...“กระทรวงสาธารณสุข” มีแผนป้องกันเหตุทะเลาะวิวาท และความรุนแรงที่เกิดขึ้นในโรงพยาบาล ทั้งมาตรการทางกฎหมาย เพื่อการป้องปราม มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเด็ดขาด ในการดำเนินคดีอาญากับผู้ก่อเหตุใช้ความรุนแรงทะเลาะวิวาททุกรายอีกทั้งยังให้ทุกโรงพยาบาลจัดทำแผนการป้องกันเหตุทะเลาะวิวาทและความรุนแรง ที่กำหนดมาตรการป้องกัน จัดทำระบบทางเข้าออกที่ปลอดภัยอย่างน้อย 2 ทางในห้องฉุกเฉิน พร้อมมีระบบควบคุมประตู มีการติดตั้งกล้องวงจรปิดให้มีสภาพพร้อมใช้งานได้และจัดทำแนวปฏิบัติ...กรณีเกิดเหตุที่ส่งผลต่อความปลอดภัยของบุคลากร และผู้รับบริการรายอื่น ต้องเร่งประสานเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ตำรวจ ทหาร เข้ามาระงับเหตุเร่งด่วน และประเมินความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น ถ้าความเสี่ยงสูงให้พิจารณาปิดบริการทันที... แต่สุดท้ายก็ยังมีเหตุทะเลาะวิวาท และความรุนแรงที่เกิดขึ้นในโรงพยาบาลอยู่เช่นเดิม ทำให้ในเรื่องนี้ โกศลวัฒน์ อินทุจันทร์ยง รองโฆษกอัยการสูงสุด มองว่าเหตุการณ์ทะเลาะวิวาทกันในสถานพยาบาลทำให้ผู้มาใช้บริการไม่ปลอดภัยนี้ มักเกิดขึ้นมาเป็นคดีฟ้องต่อศาลกันอยู่เป็นระยะโดยเฉพาะ “ช่วงวันหยุดยาว” ที่มีกิจกรรมสังสรรค์ปาร์ตี้ ดื่มสุราของมึนเมา เช่น เทศกาลปีใหม่ หรือสงกรานต์ เป็นต้นกระทั่งมีเหตุทะเลาะทำร้ายกัน เมื่อมี “คนบาดเจ็บ” ก็ส่งตัวมารักษาในโรงพยาบาล แต่ยังมีการตามมาทำร้ายกันในโรงพยาบาลอีก ทั้งที่สถานที่ แห่งนี้ควรเป็นที่ที่ปลอดภัยที่สุด จนกลายเป็นข่าวตามหน้าสื่อมวลชนค่อนข้างบ่อยขึ้น ทำให้แพทย์และประชาชนก็ต่างเรียกร้องขอให้โรงพยาบาลเป็นที่ที่ปลอดภัยประเด็นเรื่องนี้ก็มี “ข้อกฎหมาย” ในบทลงโทษผู้ก่อเหตุทะเลาะวิวาทตามสถานพยาบาลไว้อยู่หลายบท ทั้ง “คดีอาญา” และ “คดีแพ่ง” เริ่มตั้งแต่ “ข้อหาบุกรุก” เพราะแม้ว่า “สถานพยาบาลของรัฐ” เป็นพื้นที่สาธารณะ ที่ประชาชนสามารถเข้าออกได้สะดวกตลอด 24 ชั่วโมงแต่อย่าลืมว่า...“ในโรงพยาบาล” มีบางส่วนเป็นพื้นที่ “สงวนของบุคลากรทางการแพทย์” ที่ไม่ใช่พื้นที่สาธารณะ และห้ามบุคคลภายนอกเข้าออกก่อนได้รับอนุญาตด้วยซ้ำ เช่น ห้องฉุกเฉิน ห้องพักแพทย์ พยาบาล แม้เป็นญาติผู้ป่วย ก็ต้องได้รับอนุญาตถึงจะมีสิทธิ์เข้าพื้นที่นี้ดังนั้น “บุคคลใด” เข้าไปยังพื้นที่สงวน หรือพื้นที่ส่วนตัวทางการแพทย์ โดยไม่ได้รับอนุญาต ย่อมเป็น “ความผิดฐานบุกรุก” ชัดเจนแน่นอน และเหตุการณ์ทะเลาะวิวาทนี้ก็มักเกิดขึ้น “ในเวลากลางคืน” นั่นหมายความว่า “บุกรุกในเวลากลางคืน” ที่มีบทลงโทษฉกรรจ์รุนแรงเพิ่มอีกต่อมา...หากมีการทะเลาะวิวาทกันในโรงพยาบาล จนเป็นเหตุให้ “บุคลากรทางการแพทย์” ได้รับบาดเจ็บอาจต้องถูกดำเนินคดีฐานความผิดทำร้ายร่างกาย ในการดำเนินคดีก็ต้องเป็นไปตามผลของการกระทำที่ก่อเหตุขึ้น เช่น ถ้าผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บมาก ก็ต้องรับโทษมาก หากได้รับโทษน้อย ก็ต้องรับโทษน้อยไปความจริง...“แพทย์ พยาบาลของรัฐ” นับเป็นพนักงานราชการตามกฎหมาย เพราะรับเงินเดือนจากภาครัฐ การปฏิบัติหน้าที่ในชุดยูนิฟอร์ม มีการแสดงตัวเป็นเจ้าพนักงานชัดเจน ถ้าผู้ก่อเหตุยังเข้าทำร้ายร่างกาย “แพทย์ พยาบาลของรัฐ” ก็มีโอกาสเข้าข่ายทำร้ายเจ้าพนักงาน มีบทลงโทษสูงกว่าการทำร้ายบุคคลทั่วไปได้และในระหว่างทะเลาะวิวาท มีการตะลุมบอนทำร้ายกันอยู่นั้น อาจทำให้บุคคลอื่นเกิดความกลัวตกใจ ก็ต้องมีความผิดทำให้ผู้อื่น “ตกใจกลัว” ในความผิด “ลหุโทษ” ขึ้นได้ด้วย ดังนั้น “คดีอาญา” พนักงานสอบสวนจะมีการรวบรวมพยานหลักฐานไล่เลียงลำดับเหตุการณ์ขั้นตอนของการกระทำความผิดข้อเท็จจริง ที่ต้องมีบทลงโทษต่างกันออกไปทว่า...“คดีแพ่ง” เมื่อมีการทะเลาะวิวาทกัน มักเกิดการชุลมุนตะลุมบอนกัน ส่งผลให้ “อุปกรณ์ทางการแพทย์” มูลค่าหลายสิบล้านบาทมีความเสี่ยง เกิดความเสียหายได้ เพราะสัญชาตญาณของคนมีอารมณ์ “หัวร้อน” ที่มีความโกรธแค้น และอาการหน้ามืด หากสามารถหยิบคว้าสิ่งใดได้ ก็ต้องจับใช้เป็นอาวุธทำร้ายกันเสมอ...ถ้ามีอุปกรณ์นี้เกิดความเสียหายขึ้น...ผู้ก่อเหตุต้องรับโทษฐานความผิดอาญา “ทำให้เสียทรัพย์” อีกทั้ง “โรงพยาบาล” ก็ยังสามารถเรียกร้องค่าเสียหาย “คดีแพ่ง” ได้อีกต่างหากด้วย หากผู้ก่อเหตุเป็นผู้เยาว์ ย่อมส่งผลให้ “บิดา มารดา หรือผู้ปกครอง” ต้องมาร่วมรับผิดชอบตามกฎหมายก่อนหน้านี้เคยคุยกับ “สุขุม กาญจนพิมาย” ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ในการป้องกันการตีกันในโรงพยาบาลด้วยการแยกญาติคนเจ็บทั้งสองฝ่ายออกจากกัน แต่ก็เห็นใจโรงพยาบาล เพราะมีข้อจำกัดเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยน้อย ทำให้ต้องขอกำลัง “ตำรวจ” เข้ามาระงับเหตุที่มีอำนาจใช้กำลังพอสมควรแก่เหตุร้ายปัจจุบันนี้มีคดีลักษณะก่อเหตุทะเลาะวิวาทในโรงพยาบาลราว 6-7 คดีต่อปี ที่มีการประสานกับสำนักงานอัยการจังหวัดทั่วประเทศ เพื่อให้บรรยายสำนวนฟ้องคดีว่า ผู้ต้องหามีพฤติกรรมท้าทายไม่มีความเกรงกลัวต่อกฎหมายบ้านเมือง มีการก่อเหตุในสถานพยาบาล และขออำนาจ “ศาล” พิจารณาลงโทษในสถานหนัก...อีกทั้งยังมี “การตรวจประวัติผู้ก่อเหตุ” ถ้าเคยกระทำผิดซ้ำซาก หรือมีโทษรอลงอาญา ก็จะฟ้องเพิ่มโทษหนักขึ้น เพราะบุคลากรทางการแพทย์ มักเป็นลูกคนเดียวในครอบครัว มีจุดประสงค์ทำงานรักษาผู้ป่วย แต่ต้องมาเผชิญเหตุร้ายแบบนี้อาจย้ายมาอยู่ในโรงพยาบาลขนาดใหญ่ ส่งผลให้พื้นที่ต่างจังหวัดขาดแคลนตามมาได้ทำให้ต้องบังคับใช้กฎหมายเด็ดขาด เพื่อลงโทษผู้ก่อเหตุให้หลาบจำไม่กลัวกระทำผิดอีก...สิ่งสำคัญ...“ผู้ก่อเหตุ” ต้องมีประวัติอาชญากรติดตัวตลอด ในยุคนี้แม้คนดีเรียนจบระดับสูงยังหางานทำยากลำบาก แต่ถ้าบุคคลมี “ประวัติเกเรทำร้ายแพทย์ พยาบาลในโรงพยาบาล” มั่นใจว่า “บริษัทเอกชน” ต้องตรวจสอบคนก่อนเข้าทำงาน เมื่อเจอประวัติเคยก่อเหตุคดี ซึ่งคงไม่มีองค์กรใด ต้องการรับเข้าทำงานแน่นอนดังนั้น “ผู้ปกครอง” อย่าปล่อยปละละเลยบุตรหลาน หรือ “วัยรุ่น” ก็ไม่ควรก่อเหตุเช่นนี้ เพราะจะนำไปสู่การถูกดำเนินคดี มีประวัติอาชญากรรม จนหมดโอกาสไม่มีทางเดินในสังคมต่อไป.