“โควิด-19” ตัวเร่ง “เวลา” ที่ทำ ให้เรารู้ซึ้งกันถึงความไม่แน่นอนของ...“อนาคต” แต่เราสามารถสร้างเซฟเฮาส์ของชีวิตได้... “วิถีชีวิต” แบบ “สุขสบายองค์รวม” จะตอบโจทย์ได้ทุกๆสิ่ง ทั้งปัญหา สังคม...เศรษฐกิจ คนตกงาน...ลดปัญหาความเหลื่อมล้ำ...เกิดพลังขับเคลื่อนจากกำลังซื้อใหม่อีกทั้งยังช่วยผลักดันให้ภาคการศึกษาและบริการการเรียนรู้ ต้องปรับตัวเพื่อตอบสนองผู้รับบริการอย่างสอดคล้องกับบริบทในพื้นที่ได้อย่างแม่นยำ มากกว่าการจัดการการศึกษาแบบครอบจักรวาล ศิวภรณ์ นภาวรานนท์ หรือ “แต้” เกษตรกรชาวสิงห์บุรีเจ้าของแบรนด์สินค้าเกษตรธุรกิจมูลไส้เดือน Mr.Hope Organic Supplies อดีตผู้ตรวจสอบบัญชี จบปริญญาโทจากต่างประเทศ ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานอย่างต่อเนื่อง จนเรียกได้ว่าแทบไม่มีจุดหมายอะไรในชีวิตที่เธอไปไม่ถึง แต่กลายว่าไม่เป็นตัวเองเลยแต้ตั้งคำถามกับชีวิต “เปลือกๆ” ที่ทุกคนต่างให้คุณค่ากับวัตถุนิยม...รู้สึกถึงความกดดันว่าต้องมีต้องเป็นอย่างคนอื่นจึงตัดสินใจกลับคืนสู่บ้านเกิดค่อยๆปลดเปลื้องความทุกข์ในใจจนได้พบกับคำตอบ“เกษตรกรเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดและเราก็รู้สึกว่าอยากเป็นฟันเฟืองตัวเล็กๆที่จะสร้างประโยชน์ให้กับสังคม...สิ่งแวดล้อม โดยอย่างน้อยต้องยืนได้ด้วยตัวเอง และไม่เป็นภาระของคนอื่น” จากชีวิต “เปลือกๆ” ก็กลับมาสู่ “ดิน” หันมาศึกษา “ไส้เดือน” สิ่งที่อยู่เบื้องหลังความอุดมสมบูรณ์ ผู้เป็นดั่งพระเอกในกระบวนการย่อยสลาย ช่วยเพิ่มสารอาหารและจุลินทรีย์ดีให้กับอินทรียวัตถุ“เราใช้ต้นกล้วยที่ตัดเครือแล้วและผักตบชวามาผสมกับดิน เพื่อเป็นบ้าน อาหาร ด้วยลักษณะลำต้นที่เป็นโพรงว่างทำให้ไส้เดือน...สิ่งมีชีวิตที่หายใจทางผิวหนังเติบโตได้อย่างสบายในสิ่งแวดล้อมที่ไม่แออัดคับแคบ เกินไป เมื่อไส้เดือนมีความสุข จุลินทรีย์ในลำไส้ก็จะดีด้วยเช่นกัน แถมช่วยเร่งการย่อยสลายได้ภายในหนึ่งเดือน”แต้ไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่การกำจัดขยะด้วยไส้เดือนและเพิ่มมูลค่าให้กับมูลดิน แต่ทั้งแปลงผักจะไม่เพิ่มขยะในทุกกระบวนการ จากการลงมือปฏิบัติจนได้รับการยอมรับทั้งจากคนในครอบครัวและชุมชน...“โครงการการเพาะเลี้ยงไส้เดือน เพื่อกำจัดอินทรียวัตถุและสร้างรายได้เสริมให้ชุมชน” จึงพัฒนาจนเป็นศูนย์ศึกษาเรียนรู้“เรายังทำดินพร้อมปลูกที่เกิดขึ้นจากความตั้งใจที่อยากให้คนเมืองหันกลับมารักการเพาะปลูกอีกครั้ง ด้วยการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ง่ายต่อการใช้งาน ในสามขั้นตอน แค่แกะถุง โรยเมล็ด รดน้ำ ทำให้ทุกคน ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ก็สามารถเริ่มต้นการเพาะปลูกได้ทุกที่ นี่คือการวางแผนอย่างรอบคอบเสมอก่อนที่จะใช้ทรัพยากรใดๆ”“Mr.Hope” ชื่อแบรนด์แปลเป็นภาษาไทยว่า “ลุงสมหวัง” หมายถึงความหวังใหม่ของการทำเกษตรที่ “ปลอดภัย ยั่งยืน”...ตอกย้ำความสำเร็จวางแผนอย่างรอบคอบ ก็มีชีวิตดีๆได้แบบไม่ทำร้ายโลก “สุขสบายองค์รวม” วิถีชีวิตสุขสบายไทยแลนด์รายต่อมา เขาคนนี้ได้ “เปลี่ยน” สิ่งที่คนมองข้ามเป็นนวัตกรรมเพื่อสร้างอนาคตที่มั่งคั่งและระบบนิเวศที่ยั่งยืน “โจ” หรือ ชาญชัย ใจเที่ยง เจ้าของ “คำม่อนฟาร์ม” ธุรกิจฟาร์มหนอนโปรตีนเลี้ยงสัตว์ จังหวัดเชียงใหม่ ที่เมื่อก่อนเคยทำธุรกิจค้าสตรอว์เบอร์รีทำกำไรหลักล้าน แต่ต้องแลกมาด้วยการที่เพื่อนร่วมงานบางคนต้องมือเท้าเปื่อย เล็บหลุด แพ้สารเคมี และจากไปในที่สุด“รู้สึกว่าสิ่งที่ทำมา เราคือฆาตกรคนหนึ่ง เราส่งต่อผลไม้ที่อาบเคมีให้คนทั้งประเทศกิน นั่งคิดทบทวนตัวเองมาตลอด แล้วตัดสินใจว่าพอแล้ว เราจะทำเป็นปีสุดท้ายแล้วเลิก”เบนเข็มเปลี่ยนเส้นทางมาทำการเกษตรแบบไร้สารเคมี และระหว่างที่ทำปุ๋ยมูลไส้เดือนสำหรับปลูกต้นมะเดื่อฝรั่งไว้ผลิตขายสู่ท้องตลาด ก็ได้ค้นพบสิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก นอกจากไส้เดือนในบ่อเลี้ยงนั่นคือหนอน “แมลงวันลาย (Black Soldier Fly)” ที่เหล่าเกษตรกรมักเททิ้งแบบไร้ประโยชน์ทว่า “โจ” กลับเฝ้าคอยสังเกตพฤติกรรมการกิน วงจรชีวิตของเจ้าแมลงนี้ เริ่มหาความรู้ สมัครเรียนหลักสูตรการเลี้ยงหนอนจากมหาวิทยาลัยแม่โจ้ จนกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญครั้งยิ่งใหญ่... ประสบการณ์สั่งสมเพิ่มพูน และยังส่งต่อให้ผู้สนใจทั้งใน...นอกชุมชน อย่างไม่หวงวิชา ไม่ว่าจะเป็นหลักสูตรการเลี้ยง นวัตกรรมใหม่เพื่อให้ฟาร์มแมลงเป็นอีกหนึ่งอาชีพทำรายได้ของทุกคน พร้อมกับการค่อยๆเปลี่ยนแปลงการทำเกษตรและการบริโภคในชุมชนแวดล้อมที่เป็นมิตรมากขึ้นควบคู่ไปกับการวิจัยต่อยอดโปรตีนหนอนสำหรับอุตสาหกรรมความงามและเป็นอาหารมนุษย์ ตั้งหวังไว้ว่าปลายทางของการสร้างฟาร์มแมลงนี้ คือ การลดโอกาสที่มนุษย์จะทำลายระบบนิเวศอีกหนึ่งตัวอย่างสุขสบายไทยแลนด์ด้วยการสร้างเซฟเฮาส์ส่วนตัวตามวิถี...สร้างสมดุลสุขภาพด้วยเกษตรบำบัด เขาคนนี้เล่าว่า “ตอนสองขวบ ผมเริ่มสังเกตเห็นว่าลูกไม่พูด และสื่อสารกับเราแปลกๆ เหมือนหุ่นยนต์ ไม่มีชีวิต ไม่มีจิตใจ ผมกับคุณเดือนเลยพาไปหากุมารเวชประจำ ซึ่งก็บอกกับเราว่าให้รอดูอาการไปก่อน เราเลยศึกษาหาข้อมูลเองไปเรื่อยๆ จนน็อตครบสามขวบ หมอก็ยืนยันว่าเขามีอาการ Asperger’s Syndrome”นี่คือหนึ่งปัจจัยหลักที่ทำให้ สมบัติ สวัสดิผล ตัดสินใจบอกลาชีวิตนักธุรกิจเจ้าของบริษัทไอที และเดินทางกลับบ้านที่จังหวัดกาญจนบุรี เพื่อผันตัวมาเป็น “คนป่า” ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจอยากใช้เกษตรในการบำบัด Asperger’s Syndrome ของน็อต...ลูกชาย เพื่อให้เขาพึ่งพาตนเองได้ และมีคุณภาพชีวิตที่ดีท่ามกลางธรรมชาติด้วยโจทย์ท้าท้ายสำคัญที่ว่า...การอยู่ภายใต้ระบบในเมืองไม่สามารถตอบโจทย์ให้เขาได้ Asperger’s Syndrome เป็นชื่อของโรคความบกพร่องทางพัฒนาการ ทำให้ยากต่อการเข้าสังคม เนื่องจากไม่สามารถเข้าใจสีหน้าท่าทางหรือความรู้สึกของมนุษย์ได้อย่างครบถ้วน และมีพฤติกรรมยึดติดกับกิจวัตรที่ทำประจำ หมกมุ่นกับการทำอะไรซ้ำๆ แต่จะฉลาด รอบรู้อย่างลึกซึ้งในสิ่งที่ตัวเองสนใจเป็นพิเศษสมบัติใช้เวลาขับรถไปกลับวันละ 5-6 ชั่วโมง จากบางพลี สมุทรปราการ ไปยังรามคำแหง เพื่อพาน็อตไปพบปะกับหมอ นักสังคมสงเคราะห์ผู้เก็บข้อมูลทำการวิจัยเรื่องโรคใหม่นี้...เมื่อน็อตสามารถสื่อสารได้บ้างแล้วก็ทดลองให้เข้าเรียน ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนรัฐบาล เอกชน หรือสายอาชีพ ทว่า...อาการของเขาไม่ดีขึ้นเลยเป็นเหมือนซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ ที่มีหน่วยความจำไม่สิ้นสุด แต่ไม่มี firewall คือไม่ว่าจะโปรแกรมดี หรือไวรัสร้าย เขารับหมดพ่อสมบัติจึงลองสอนทักษะต่างๆให้เเก่น็อตด้วยตนเอง เริ่มที่การสาธิตท่านวดเท้าแผนไทยจาก 25 ท่า...เป็น 30 ก็เริ่มทำเองได้ เห็นว่า การเรียนรู้อัตโนมัติของลูกเริ่มทำงานแล้ว จึงนำหลักการนี้มาปรับใช้ในการเรียนรู้เรื่องต่างๆ เมื่อกลับบ้านไปทำเกษตร โดยให้น็อตเริ่มศึกษาการตัดหญ้า ซึ่งดูเป็นสิ่งที่อันตราย เขาต้องทำเองทั้งหมด“ห้าปีมานี้ ผมมีเครื่องตัดหญ้าให้น็อตห้าตัว ทั้งหมดเกือบห้าสิบไร่ น็อตตัดคนเดียวเกือบทั้งหมด เขาจัดการได้เองทุกอย่าง ไม่ว่าจะซ่อมเครื่อง ล้าง เปลี่ยน ทาน้ำมัน เปลี่ยนหัวเทียนได้ด้วยตัวของเขาเอง โดยที่ผมไม่ต้องยุ่งเรื่องการตัดหญ้าอีกแล้ว ถามว่าแบบนี้ โรงเรียนที่ไหนเขาจะสอนให้ผมได้” “การเกษตร” เปลี่ยนให้ความหมกมุ่น ย้ำคิดย้ำทำจนกลายเป็นความถนัดเฉพาะทางที่เชี่ยวชาญยิ่งกว่าใครๆ...วิถีชีวิตในสวนป่ายังทำให้สมบัติมีสุขภาพกายแข็งแรงถึงขนาดสามารถยกปูนหนัก 50 กิโลกรัมได้ด้วยตัวคนเดียว และช่วยรักษาฝ้าที่แก้มสองข้างของภรรยา จากที่เคยเสียค่ารักษาพยาบาลไปหลายแสนโดยไร้ผลแต่...เเค่กินมัลเบอร์รีปลอดสารจาก “สวนสมบัติ” เป็นระยะเวลาปีกว่าๆ รอยฝ้าก็หายไปได้เสมือนเชิญชวน เชื้อเชิญให้ใครหลายๆคน “กล้า” ที่จะเดินออกจาก “เซฟโซน” ในวันนี้ ออกไปสร้าง “เซฟเฮาส์ส่วนตัว”...สร้างวิถีชีวิตที่มีความสุขที่สุดตามสไตล์ “สุขสบายไทยแลนด์”.