ตัวเลขผู้ “ติดเชื้อ” และ “เสียชีวิต” จากไวรัสร้าย “โควิด-19” ใน 210 ประเทศทั่วโลก ณ วันที่ 18 เมษายน อยู่ที่ 2,347,777 คน...ผู้เสียชีวิตรวม 161,126 คน...รักษาหายดีแล้ว 605,661 คนน่าสนใจว่า...ผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มประเทศที่เกิดการระบาดรุนแรง คือ สหรัฐฯ สเปน อิตาลี ฝรั่งเศส เยอรมนี อังกฤษ จีน ตุรกีและอิหร่านยักย้ายมาที่ “ประเทศจีน” ยังพบผู้ติดเชื้อเพิ่ม 16 ราย ส่วนใหญ่ 9 ราย...เป็นผู้ติดเชื้อที่เดินทางมาจากต่างประเทศ นับเป็นยอดผู้ติดเชื้อรายวันเพิ่มต่ำที่สุดตั้งแต่ 17 มีนาคม...เทียบกับ 27 ราย เมื่อ 1 วันก่อน และไม่พบผู้เสียชีวิตเพิ่ม ทำให้ยอดผู้ติดเชื้อรวมอยู่ที่ 82,735 ราย มีผู้เสียชีวิตรวม 4,632 รายขณะที่จีนมุ่งเน้นยับยั้งการแพร่ระบาดรอบใหม่ที่มณฑลเห่ยหลงเจียง ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ติดพรมแดนรัสเซีย หลังพบผู้ติดเชื้อที่นั่นแล้ว 39 รายใน 10 วันหลังแต่ก็ยังมีข่าว...ปฏิเสธไวรัสหลุดจากห้องแล็บ หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ กล่าวว่า “เชื้อโควิด-19” อาจมาจากความผิดพลาดที่ควบคุมไม่ได้หรือการจงใจปล่อยโดยเจตนาของจีนซึ่ง...ถ้าจีนรู้เรื่องนี้จะต้องรับผิดชอบ ประเด็นนี้เจ้าหน้าที่ห้องทดลองในเมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย ต้นตอการแพร่ระบาด ได้ออกมาปฏิเสธทฤษฎีของสหรัฐฯ ที่ชี้ว่า...เชื้อไวรัสโควิด -19 อาจหลุดออกมาจากห้องทดลองเมืองอู่ฮั่น โดยยืนยันว่าเป็นไปไม่ได้เงื่อนปมนี้เป็นเรื่องใหญ่ระดับโลก นางมาริส เพย์น รมว.ต่างประเทศของออสเตรเลีย ยังได้ออกมาแถลงแสดงความสงสัยเรื่องความโปร่งใสของจีนในการรับมือการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 และเรียกร้องให้มีการสอบสวนอย่างอิสระในระดับนานาชาติว่า “เชื้อโควิด-19” มีต้นตอจากไหนแน่และ...แพร่ระบาดไปทั่วโลกจนควบคุมไม่อยู่ได้อย่างไร? แน่นอนว่าท่าทีของออสเตรเลียครั้งนี้ยิ่งเพิ่มแรงกดดันต่อจีน ขณะที่ออสเตรเลียพบผู้ติดเชื้อเพิ่ม 20 ราย เป็น 6,606 ราย เสียชีวิต 70 รายดูเหมือนว่า “วัคซีน” จะเป็นคำตอบเดียวใน “ความหวัง” และ “โอกาส” ที่จะคลี่คลายสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ได้อย่างชะงักงันสำนักข่าวเอพีรายงานว่า การพัฒนาวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่มีความหวัง 3 ชนิดในจีนและสหรัฐฯ กำลังก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ชนิดแรกเป็นของ...บริษัทแคนซิโน ไบโอโลจิกส์ ของจีน ซึ่งทดลองกับมนุษย์รายแรกแล้ว และเตรียมทดลองกับมนุษย์ครั้งที่ 2 กับอาสาสมัคร 500 คน ส่วน วัคซีนชนิดที่ 2 เป็นของสถาบันสุขภาพแห่งชาติสหรัฐฯ (เอ็นไอเอช) ร่วมกับ บริษัทโมเดอร์นา อินช์ ในสหรัฐฯ ซึ่งเตรียมทดลองกับอาสาสมัครเป็นครั้งที่ 2วัคซีนชนิดที่ 3 เป็นของบริษัทอิโนวิโอ ฟาร์มาซูติคอลส์ของสหรัฐฯ ซึ่งเตรียมทดลองกับมนุษย์ครั้งที่ 2 เช่นกัน และจะขยายการทดลองไปในจีนด้วยแม้จะมีแสงสว่างปลายอุโมงค์รออยู่ แต่นักวิทยาศาสตร์ก็ชี้ว่าหนทางยังอีกยาวไกล...ถึงจะรู้ว่าวัคซีนจะได้ผลจริงหรือไม่ ต้องรอ 1 ปี ถึง 18 เดือน เพราะมีกระบวนการมาตรฐานที่สลับซับซ้อนซึ่งก่อนหน้านี้นักวิทยาศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยฮ่องกงอ้างว่า สามารถพัฒนาวัคซีนเพื่อป้องกันไวรัสโควิด-19 ที่เมืองอู่ฮั่นในจีนได้ในขั้นแรก แต่ต้องใช้เวลาอีกนานในการทดลองกับสัตว์และต้องใช้เวลาอย่างน้อย 1 ปีก่อนเริ่มทดลองกับมนุษย์นักวิทยาศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดในสหรัฐฯ เผยแพร่ผลการวิจัยลงในวารสารการแพทย์เมื่อวันที่ 14 เมษายน ระบุว่า มาตรการล็อกดาวน์และเว้นระยะห่างทางสังคม (โซเชียล ดิสแทนซิง) เพียงรอบเดียว ไม่สามารถยับยั้งการแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้ และอาจจำเป็นต้องใช้เป็นระยะอีกหลายรอบจนถึง พ.ศ.2565เพื่อป้องกันผู้ป่วยล้นเตียงในโรงพยาบาล ผลการวิจัยยังชี้ว่าเชื้อโควิด-19 อาจกลายเป็นโรคประจำฤดูกาลคล้ายเชื้อหวัดธรรมดา แต่มีอัตราการติดเชื้อสูงกว่าในช่วงฤดูหนาวกระนั้น...ก็ยังไม่รู้แน่ชัดว่าผู้หายป่วยจากโควิด-19 จะมีภูมิคุ้มกันระดับไหนหรือยาวนานเพียงใด ส่วน นายอันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ก็ได้ออกมาย้ำเตือนถึงอันตรายของ “การแพร่ ระบาดของข้อมูลข่าวสารที่ผิดๆ” เกี่ยวกับโควิด-19 เช่นกัน เมื่อ “วัคซีน” ที่เป็นโอกาสและความหวังยังมาไม่ถึง หลายชาติจึงหันไปใช้ “ยาทางเลือก”ปลายสัปดาห์ที่แล้ว สำนักข่าวเอพีรายงานว่า ขณะที่ยังไม่มีวัคซีนป้องกัน หรือยารักษาเชื้อไวรัสโควิด-19 ผู้คนในหลายประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะ “จีน” และ “อินเดีย” ซึ่งมีประชากรมากเป็นอันดับ 1 และ 2 ของโลก พากันหันไปพึ่งยาทางเลือก และมักได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลด้วยโดยในจีน...เจ้าหน้าที่รัฐบาลบางคนอ้างโดยไม่มีหลักฐานยืนยันว่ายาสมุนไพรพื้นบ้านคือหัวใจในการต่อสู้โควิด-19 ส่วนรัฐบาลอินเดียก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์หลังอ้างว่ายาและการรักษาแผนโบราณบางอย่างรวมทั้ง “อายุรเวช” อาจช่วยป้องกันโควิด-19 ได้...ขณะที่ในเวเนซุเอลา ประธานาธิบดีนิโคลาส มาดูโร สนับสนุนให้ผู้คนดื่มชาสมุนไพรเพื่อต่อสู้โควิด-19 ทั้งที่องค์การอนามัยโลก (WHO) เตือนให้ระวังเพราะยังไม่มีหลักฐานสนับสนุนว่ายาเหล่านี้ได้ผลจริงและอาจมีอันตราย สำหรับ “ประเทศไทย” กำลังตั้งไข่เตรียมจับมือจีนพัฒนาวัคซีนโควิด-19 ถ้อยแถลงของ นพ.นคร เปรมศรี ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ บอกว่า ความก้าวหน้าของการพัฒนาวัคซีนรักษาโรคโควิด-19 ของประเทศไทย สถาบันวัคซีนแห่งชาติ ได้รวบรวมสรรพกำลังของนักวิจัย ทั้งจากคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล คณะวิทยาศาสตร์ ม.มหิดล มาร่วมวิจัยขั้นทดลองพัฒนาวัคซีนโดยใช้เวลาทดลองระยะที่ฉีดในสัตว์ ต้องใช้เวลานานถึงเดือนกรกฎาคม ก่อนที่จะทดลองในคนอีกประมาณ 6 เดือน ขณะที่ทั่วโลก อาทิ สหรัฐอเมริกา จีน อังกฤษ ได้พัฒนาวัคซีนเริ่มทดสอบในคนแล้ว โดยมีวัคซีนทั้งหมด 6 ชนิด ส่วนกรณีประเทศจีนที่ทดลองวัคซีนด้วยการฉีดในสัตว์ทดลองแล้วนั้นถือว่ามีความก้าวหน้าในการทดลองระยะที่ 2 ในส่วน ของประเทศไทยมีความเป็นไปได้ว่าจะร่วมมือผลิตวัคซีนกับจีนในการพัฒนาวัคซีนร่วมกันขณะนี้อยู่ระหว่างการเตรียมลงนามความร่วมมือร่วมกัน ซึ่งจะเป็นโอกาสที่จะได้เข้าถึงวัคซีนที่เร็วขึ้น เป้าหมายเพื่อการเข้าถึง “วัคซีนโควิด-19” ให้เร็วที่สุด เราไม่สามารถรอไปเนิ่นนานมากนัก หากต้องรอให้เข้าสู่ภาวะสงบ...ประเทศไทยจะต้องมีประชากรมากกว่าร้อยละ 60 หรือ 35 ล้านคนติดเชื้อ และมีภูมิคุ้มกันซึ่งจะกินเวลานานมาก เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างประเมินค่าไม่ได้ อีกทั้งการรอซื้อวัคซีนโดยไม่ทำอะไรเลยก็ทำได้ยากต้องรอเวลานานเพราะศักยภาพการผลิตวัคซีนตอนแรกจะไม่เพียงพอต่อคนทั้งโลก ดังนั้นการพัฒนาศักยภาพการวิจัยพัฒนาต้องนำไปสู่การผลิตวัคซีนในประเทศต้องเริ่มดำเนินการตั้งแต่วันนี้ “ถ้ามีการลงทุนพัฒนาศักยภาพด้านวัคซีน จะทำให้เราสามารถเข้าถึงวัคซีนได้เร็วขึ้นแม้เพียง 1 เดือน ก็นับว่าคุ้มค่า ถ้าเรามีศักยภาพการวิจัยพัฒนา และการผลิตวัคซีน จะเป็นพื้นฐานสำคัญในการรับมือโรคติดเชื้ออุบัติใหม่ในอนาคตได้”ช่วยกันลุ้น ส่งกำลังใจ ความสำเร็จ “วัคซีนโควิด-19” เป็นหนึ่ง ในความหวังและโอกาสที่สำคัญของคนไทย...คงอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม.