ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมานี้ สถิติเสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนนมีตัวเลขคงอยู่ที่ประมาณ 20,000 กว่าคนต่อปี แม้ว่าปี 2561 องค์การอนามัยโลกจัดอันดับจำนวนผู้เสียชีวิตของไทยลดลงเป็นอันดับ 9 จากปี 2558 อันดับที่ 2 แต่ตัวเลขนี้ยังสูงสุดในประเทศแถบเอเชีย...

ที่มีผู้เสียชีวิตเฉลี่ย 60 คนต่อวัน ถือว่า...อยู่ในสถานภาพ “เข้าสู่ขั้นวิกฤติ” สาเหตุก็คงมีปัจจัยเดิม คือ...ไม่สวมหมวกนิรภัย เมาแล้วขับ ขับรถเร็ว

หากย้อนหลัง 5 ปีก่อนหน้านี้...รถจักรยานยนต์ยังคงครองแชมป์มียอดผู้เสียชีวิตสูงสุด 66.7% เพราะไม่สวมหมวกกันน็อกสูงสุด รองลงมา คือรถเก๋ง 18.2% คนเดินเท้า 8.7% และปิกอัพ รถตู้ 3.7% ตามลำดับ...

ส่วนใหญ่ “เสียชีวิต” ในจุดเกิดเหตุ...และถูกส่งตัวมารักษาตามโรงพยาบาล...หลายแสนรายต่อปีที่มีโอกาสรอดสูง...แต่ต้องกลายเป็นผู้พิการรายใหม่ประมาณ 5 พันคนต่อปี...

กลายเป็นภาระให้ “ครอบครัวต้องเลี้ยงดู” ที่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม...สูญเสียมูลค่าไม่ต่ำกว่า 2 แสนล้านบาทต่อปี

ปัญหาความสูญเสียจากอุบัติเหตุทางถนนนี้ นพ.สมประสงค์ ทองมีสี เลขาธิการสมาคมแพทย์อุบัติเหตุแห่งประเทศไทย ให้ข้อมูลว่า การเสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนนของประเทศไทยประมาณ 22,000 คนต่อปี ในตัวเลขนี้เกิดการเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ 60 เปอร์เซ็นต์ มีการเสียชีวิตในห้องฉุกเฉินในโรงพยาบาล 30 เปอร์เซ็นต์

และอีก 10 เปอร์เซ็นต์ ต้องเฝ้าดูอาการใน 48 ชั่วโมง เมื่อพ้นในช่วงนี้ก็มีโอกาสรอด...แต่ก็ต้องกลายเป็น “ผู้พิการ” แทน

นั่นหมายความว่า...การช่วยเหลือชีวิตผู้ประสบเหตุเป็นเพียงปลายน้ำ หากต้องการลด “การเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ” ต้องพุ่งเป้าไปยังต้นน้ำ ซึ่งก็คือ...ลดความรุนแรงของการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน ที่ต้องมีระบบการป้องกันด้วยการใช้กฎหมายอย่างจริงจัง

...

ในการ “จัดตั้งองค์กรกลาง” ทำหน้าที่บริหารจัดการระบบแบบบูรณาการ ด้วยการรวมภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงคมนาคม และกระทรวงสาธารณสุข มาช่วยกันผลักดันในเชิงนโยบาย...ในเรื่องลดการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ...ลดต้นน้ำ ก่อนเข้ามาสู่ระบบการรักษา

ประเด็นน่าสนใจ...ทุกครั้งที่มีการเกิดอุบัติเหตุ มักมีผู้ป่วยต้องกลายเป็น “คนนอนเป็นผัก” ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ที่เกิดขึ้นควบคู่กับอุบัติเหตุมาตลอด ที่เรียกกันว่า “ผู้ป่วยติดเตียง” ส่งผลกระทบตามมามากมาย ทั้งด้านครอบครัว ต้องสูญเสียเสาหลัก รับภาระการเลี้ยงดู และภาครัฐต้องสูญเสียบุคลากรอันมีคุณค่า

เพราะส่วนใหญ่ผู้ประสบอุบัติเหตุ...มีอายุเฉลี่ยอยู่ในช่วง 15-24 ปี ซึ่งเป็นกลุ่มวัยหนุ่มสาว สามารถพัฒนาประเทศได้มหาศาล และเคยมีผลศึกษาเรื่อง “ทุพพลภาพที่เกิดจากอุบัติเหตุ” มีผลให้ภาครัฐสูญเสียทางเศรษฐกิจสูงถึงแสนล้านบาทต่อปีอีกด้วย...

จากการสำรวจในโรงพยาบาลหลายแห่ง มีผู้บาดเจ็บจากอุบัติเหตุ ถูกส่งตัวเข้าสู่การช่วยเหลือชีวิตนี้ ส่วนใหญ่ได้รับ “บาดเจ็บทางสมอง” มีสูงถึง 70 เปอร์เซ็นต์ ตามจำนวนตัวเลขนี้ 1 ใน 5 ต้องกลายเป็นผู้ป่วยติดเตียง ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้เลย ที่ต้องเป็นภาระให้กับญาติ ต้องเป็นผู้ดูแลป้อนข้าว...ป้อนน้ำ อยู่ตลอดเวลา

ส่วนอีก 30 เปอร์เซ็นต์...ได้รับบาดเจ็บรุนแรงตามร่างกาย หรืออวัยวะอย่างอื่น เช่น ช่องท้อง แขน ขา มีลักษณะนำสู่ “ความพิการ” หลายคนเช่นกัน

ยกตัวอย่าง...พื้นที่ จ.ชลบุรี ปีงบประมาณ 2562 มีผู้บาดเจ็บ 35,410 ราย เสียชีวิต 764 ราย หรือวันละ 2 คน คิดเป็น 38.96 ต่อแสนประชากร มีเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ 60 เปอร์เซ็นต์ มีอายุ 15-24 ปี ส่วนใหญ่เกิดจากรถจักรยานยนต์ล้มเอง หรือรถจักรยานยนต์ชนรถบรรทุกที่ไม่สวมหมวกกันน็อก 75 เปอร์เซ็นต์ ทำให้เรื่องนี้การสวมหมวกกันน็อก มีความจำเป็นสำคัญมากในการป้องกันการสูญเสีย...

“เคยเห็นเหตุการณ์รถจักรยานยนต์วิ่งด้วยความเร็วสูงได้เกิดอุบัติเหตุขึ้น ในช่วงจังหวะนั้น...“ศีรษะไม่สวมหมวกกันน็อก” ฟาดกับพื้นอย่างแรง...มีเสียงดังสนั่นก้อง ลักษณะเสมือนนำ “ลูกมะพร้าว” ทุบลงกับพื้น...แตกกระจาย ทำให้การสวมหมวกกันน็อกมีความจำเป็นในการป้องกันที่สุด” นพ.สมประสงค์ ว่า

แม้ผู้ป่วยได้รับอุบัติเหตุและบาดเจ็บเข้ามารักษาตัวในโรงพยาบาลรอดจากการเสียชีวิต ก็มักมีผลกระทบต่อ “ทางสมอง” เมื่อออกโรงพยาบาลไปแล้ว มีน้อยคนมากที่สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ ส่วนใหญ่มีผลทางสติปัญญา ที่เรียกกันว่า “คนไม่เต็มบาท” ที่มีอาการเป็นครั้งคราว

ซ้ำร้าย...ยังมีจุดซ่อนเร้นจากอุบัติเหตุศีรษะกระแทกพื้น จนผู้ประสบเหตุต้องสลบไป ที่มีอาการบาดเจ็บเล็กน้อย ต้องนอนรักษาตัวในโรงพยาบาลราว 2-3 วัน แพทย์ทำการตรวจร่างกาย ไม่มีความผิดปกติ ก็ปล่อยตัวกลับบ้าน ทำให้ถูกมองข้ามเรื่องผลกระทบจากการกระทบกระเทือนทางสมอง...

มีผลตามมาด้วย “อาการเพี้ยนเกิดขึ้นเล็กน้อย” ซึ่งเป็นกลุ่มใหญ่มีสูงถึง 95 เปอร์เซ็นต์ ที่มีลักษณะความผิดปกติของอารมณ์เปลี่ยนไปภายหลังจากการรักษานี้...

กลายเป็นบุคคลอารมณ์ดุร้าย โมโหง่าย ขี้หงุดหงิด อารมณ์เสียง่าย ก้าวร้าว และมีอารมณ์ฉุนเฉียวบางครั้งบางคราว โดยเฉพาะอาการนอนหลับยาก แต่ยังสามารถใช้ชีวิตตามปกติได้

ยกตัวอย่างอาการ... เคยเป็นคนสุภาพ ไม่เคยพูดคำหยาบ กลับกลาย...เป็นคนพูดคำรุนแรง หรือเคยมีลักษณะสุภาพเรียบร้อย กลายเป็นคนอารมณ์รุนแรง หัวร้อนแบบไม่ทราบสาเหตุ ที่มักพบเจอบ่อยขึ้นในสังคมนี้

บุคคลภายนอกอาจไม่สามารถรับรู้อาการนี้ได้ แต่ต้องเป็นคนใกล้ชิด หรือคนในครอบครัว สามารถรับรู้ถึงอาการความผิดปกติได้ดี สาเหตุจากการที่เกิดศีรษะกระแทกของแข็งอย่างรุนแรง ทำให้สมองขาดหายไปประมาณ 5 เปอร์เซ็นต์ เพราะสมองคนเรา...ก็เปรียบเสมือนเต้าหู้กลมๆเมื่อมีการเขย่า หรือกระแทกขึ้น ลักษณะของเต้าหู้ก็มีความช้ำ ในเนื้อผิวเกิดการไม่เรียบเนียนของผิวเหมือนเดิม

...

ทว่า...บริเวณจุดช้ำเนื้อผิวที่ไม่เรียบเนียนของสมองนี้เองคือสาเหตุเพราะสมองบางส่วนเกี่ยวเนื่องกับความทรงจำ หรือการควบคุมอารมณ์
บางส่วนได้ ทำให้พฤติกรรมเปลี่ยนไปที่เกิดจากอาการบาดเจ็บเล็กๆน้อยๆ จากอุบัติเหตุบนท้องถนนนี้...

ในฐานะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ...เชื่อว่าผู้ป่วยมีประวัติอุบัติเหตุศีรษะกระแทกพื้นสลบในที่เกิดเหตุ มักมีผลกระทบต่อการควบคุมอารมณ์ใน อนาคต ที่ไม่ใช่อาการทางจิตเวช หรือการหลั่งสารเคมีในสมอง...ในต่างประเทศ มีการศึกษาในเรื่องนี้อย่างจริงจังแล้ว แต่ประเทศไทยไม่มีการศึกษา...

ปัจจุบันนี้การเสียชีวิตจากอุบัติเหตุรุนแรงที่สุด...คงต้องพุ่งเป้าไปยัง...รถจักรยานยนต์ มีอัตราสูง 90% หากสามารถเข้มงวดเรื่องความเร็ว ในเรื่องพฤติกรรมขับขี่จักรยานยนต์ ป้องกันล้มเอง ชนกันเอง ชนกับรถขนาดใหญ่ ที่ต้องมีการใส่หมวกนิรภัย หรือเข้มงวดตรวจจับระดับแอลกอฮอล์ จะสามารถลดการเสียชีวิตได้มากขึ้นแน่นอน

โดยเฉพาะการแยกเลนรถจักรยานยนต์ไม่ให้เจอกับรถขนาดใหญ่ หรือรถบรรทุก เช่น ประเทศเวียดนามมีเลนรถจักรยานยนต์เฉพาะแล้ว และสามารถลดการเสียชีวิตได้อย่างมาก แม้แต่ใน “ย่างกุ้ง” ประเทศเมียนมา ก็มีการแยกเลนรถจักรยานยนต์ ก็สามารถลดอุบัติเหตุได้เช่นกัน

ในเรื่องอุบัติเหตุบนท้องถนนถือเป็นปัญหาใหญ่ระดับชาติที่ต้องยกระดับเป็นนโยบายหลักของประเทศ เบื้องต้นทราบมาว่า...คณะวุฒิสภา มีความพยายามผลักดันเกี่ยวกับปัญหาอุบัติเหตุนี้แล้ว และมีการตั้งคณะกรรมาธิการด้านอุบัติเหตุขึ้น...ในอนาคต...น่าจะมีการผลักดันแนวทางการแก้ปัญหาอย่างจริงจัง

การลดอุบัติเหตุบนท้องถนน...ต้องมีพลังขับเคลื่อนร่วมกัน...ยกระดับให้เป็นนโยบายแห่งชาติในการป้องกันอนาคต เพื่อหยุดยั้งเหตุต้นทางนี้...เพราะอาจจะมีคนหัวร้อนเต็มบ้าน...เต็มเมืองขึ้นได้.

...