วงจรปิดไขคดีมีอีกจุดนัดพบผบ.ตร.แฉอาแบมือบึมให้การเป็นประโยชน์แต่พูดไม่หมดเชื่อคดียังเดินต่อไปได้ ส่วนบิ๊ก พฐ.ขอเวลาทำงาน หลังหลักฐานทีมบึมป่วนกรุง ทยอยส่งเข้ามาตรวจเป็นระยะ เผยมีหลายจุดที่ผลตรวจลายนิ้วมือและดีเอ็นเอตรงกับผู้ต้องหาที่ควบคุมตัวอยู่ ขณะที่การสืบสวนหาตัวทีมบึม กล้องวงจรปิดเป็นพระเอกไขคดีในการขอหมายจับศาล เผยหมัดเด็ดยืนยัน 1 ในคนร้ายที่ซุกบึมศูนย์ราชการฯ เปลี่ยนเสื้อผ้า แต่ไม่เปลี่ยนรองเท้าภายหลัง พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. บินลงใต้ ไปสอบปากคำอาแบ หรือนายมูฮัมมัด–อิลฮัม สะอิ อายุ 28 ปี ผู้ต้องหาตัวการสำคัญนำระเบิดมาแจกจ่ายให้วัยรุ่นแนวร่วมโจรใต้ นำไปวางไว้ตามสถานที่ต่างๆทั่วกรุงเทพฯ เริ่มตั้งแต่บ่ายวันที่ 1 ส.ค.ต่อเนื่องเช้าวันที่ 2 ส.ค. โดยนายอาแบตั้งแง่ขอคุย กับหัวหน้าใหญ่ตำรวจเพียงคนเดียว ขณะที่นายลูไอ แซแง อายุ 23 ปี และนายวิลดัน มาหะ อายุ 29 ปี 2 หนุ่มชาว จ.นราธิวาส ผู้ต้องหาวางระเบิดซุกป้ายที่หน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และนายมูฮำหมัดฮาซัน มะ อายุ 22 ปี ผู้ต้องหาที่ขี่ จยย.พานายอาแบหนี ยังคงถูกควบคุมตัวไว้ที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ส่วนหน้า (ศปก.ตร.สน.) อ.เมืองยะลา จ.ยะลา เพื่อสอบสวนขยายผลหาผู้ร่วมกระทำความผิด รวมทั้งตรวจค้นอพาร์ตเมนต์ในซอยรามคำแหง 53 ที่นายอาแบเช่า คาดเป็นที่ประกอบระเบิด ขณะที่ พล.ต.ท.ปิยะ อุทาโย โฆษก ตร.ให้หลักประชาชนสังเกตวัตถุต้องสงสัย “4 ไม่” 1.ไม่เคยเห็น 2.ไม่เป็นของใคร 3.ไม่ใช่ที่อยู่ 4.ดูไม่เรียบร้อย พบเห็นให้แจ้งตำรวจความคืบหน้าล่าสุดในคดีบึมป่วนกรุง วันที่ 10 ส.ค. พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร.กล่าวว่า ขณะนี้ควบคุมตัวผู้ต้องหาได้ 2 คน คือนายลูไอ แซแง และนายวิลดัน มาหะ ที่ก่อเหตุวางระเบิดหน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อยู่ในการควบคุมตัวตาม พ.ร.ก.สถานการณ์ฉุกเฉินเข้าสู่ขบวนซักถามข้อมูลของตำรวจภาค 9 ที่มีฐานข้อมูลเก่าของกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบในพื้นที่ภาคใต้ ก่อนขออนุมัติหมายจับกุมผู้ต้องหา ทั้งคู่อยู่ในระดับปฏิบัติการ ในการก่อเหตุลอบวางระเบิดกลุ่มผู้ต้องหามีกระบวนการคัตเอาต์อย่างดี ไม่ให้สาวไปถึงผู้บงการ ก่อนลงมือมีการวางแผนเป็นขั้นตอน อุปกรณ์ที่นำมาก่อเหตุมีทั้งระเบิดและทำให้เกิดเพลิงไหม้ ทุกจุดที่คนร้ายลงมือก่อเหตุ ตั้งเวลาไว้ล่วงหน้า ไม่ใช้งานง่ายที่จะสืบสวนจับกุมมือระเบิดมาได้พร้อมหลักฐาน แต่ตำรวจได้พยานหลักฐานเชื่อมโยงนำไปสู่การขออนุมัติหมายจับกุมดำเนินคดีผู้ต้องหาเมื่อถามถึงการลงไปสอบสวนผู้ต้องหาเพิ่มในพื้นที่ ศปก.ตร.สน.จ.ยะลา เมื่อวันที่ 9 ส.ค.ที่ผ่านมา พล.ต.อ.จักรทิพย์กล่าวว่า ชุดสืบสวนได้เบาะแสตรวจค้นอพาร์ตเมนต์ ไม่มีชื่อภายในซอยรามคำแหง 53 น่าเชื่อเป็นจุดที่ใช้พักและประกอบระเบิดของกลุ่มผู้ต้องหาสั่งให้กองพิสูจน์หลักฐาน และอีโอดี ตรวจเก็บพยานหลักฐาน และดีเอ็นเอเพื่อนำมาตรวจเปรียบ– เทียบกับผู้ต้องหาที่ควบคุมตัวไว้ คาดว่าจะเป็นห้องที่ใช้ประกอบวัตถุระเบิด นำไปแจกจ่ายให้กลุ่มผู้ปฏิบัติการลอบวางระเบิดตามจุดต่างๆในพื้นที่ กทม. เป็นข้อมูลใหม่ของชุดสืบสวน ทำให้ต้องลงไปซักถาม ข้อมูลเพิ่มเติมกับผู้ต้องหาให้ยืนยันในสิ่งที่พบเห็น ผู้ต้องหาให้การเป็นประโยชน์ แต่ยังไม่ได้พูดเรื่องจริงทั้งหมด เชื่อว่าคดียังพอมีทางเดินหน้าต่อไปได้ ส่วนรายละเอียดเป็นขั้นตอนสืบสวนเปิดเผยไม่ได้ ต้องเห็นใจคนทำงาน ต้องให้เวลา ที่ผ่านมาไม่เคยมีคดีระเบิดคดีไหน จับกุมผู้ต้องหาได้ภายใน 10 ชั่วโมงมีรายงานว่า ที่ห้องพักอพาร์ตเมนต์ในซอยรามคำแหง 53 พบถุงพลาสติกภายในมีซิมโทรศัพท์มือถือที่ใช้เล่นอินเตอร์เน็ตหลายร้อยอัน น่าเชื่อว่ามีส่วนเกี่ยวข้องในประกอบวงจรระเบิด มีพยานหลักฐานหลายอย่างที่ต้องนำไปตรวจพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ รวมทั้งดีเอ็นเอผู้ต้องสงสัยในห้อง มาเปรียบเทียบกับนายมูฮัมมัดอิลฮัม สะอิ หรืออาแบ ที่ให้การเช่าพักอยู่ในห้อง เป็นผู้ที่มีความรู้ และความเชี่ยวชาญในการประกอบระเบิดเพื่อใช้ในการก่อเหตุ และเป็นผู้ต้องสงสัยตามภาพกล้องวงจรปิดขี่รถ จยย.นำระเบิดมาส่งให้มือวางระเบิดก่อเหตุอีกด้านหนึ่ง ที่สำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ พล.ต.ต.ธวัชชัย เมฆประเสริฐสุข รอง ผบช.สพฐ. กล่าวว่า ถึงขณะนี้หลักฐานเหตุระเบิด ยังถูกส่งเข้ามาตรวจพิสูจน์เป็นระยะ ทั้งจากที่เกิดเหตุและจากการตรวจค้นตามเป้าหมายต่างๆ โดยจะเป็นการตรวจพิสูจน์ลายนิ้วมือ ดีเอ็นเอ และรายละเอียดอื่นๆ ที่ติดอยู่ที่ของกลางที่ตรวจเจอ เบื้องต้นมีหลายจุดที่ผลการตรวจตรงกับผู้ต้องหาที่ควบคุมตัวอยู่ในขณะนี้ เป็นเหตุให้สามารถยืนยันตัวผู้ก่อเหตุได้ชัดเจนขึ้น ตรงนี้เป็นหน้าที่หลักของหน่วยงานทางนิติวิทยาศาสตร์ ในการหาหลักฐานยืนยันตัวบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการก่อเหตุในครั้งนี้ แต่หน้าที่เหล่านี้เป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาในการตรวจพิสูจน์ ต้องขอเวลาทำงาน เพื่อหาหลักฐานให้ได้มากที่สุด ในการยืนยันผู้กระทำความผิด เพราะหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ จะเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญทางคดีมีรายงานว่า ชุดสืบสวนสอบสวนคลี่คลายคดีระเบิดป่วนกรุงได้รวบรวมพยานหลักฐานเตรียมนำสำนวนยื่นศาลอาญาเพื่อขออนุมัติหมายจับมือระเบิด 2 คน ที่ก่อเหตุวางระเบิดที่ศูนย์ราชการฯ ถนนแจ้งวัฒนะ กทม. ที่อาคารบี 2 จุด และกองบัญชาการกองทัพไทย 2 จุด เหตุเกิดท้องที่ สน.ทุ่งสองห้อง ช่วงเช้าวันที่ 2 ส.ค. ตรวจสอบพบคนร้ายเป็นชาย 2 คน โดยสารรถแท็กซี่ สีเขียวเหลือง มาลงที่ศูนย์ราชการฯ เวลา 15.10 น. วันที่ 1 ส.ค. ทั้งคู่ใส่เสื้อแขนยาวสีขาว กางขายาว สะพายเป้ สวมหน้ากากอนามัย และใส่หมวก คนร้ายใส่หมวกแก๊ปสีขาวไปวางระเบิดที่หน้าอาคารบี ส่วนคนร้ายใส่หมวกแก๊ปสีดำ ไปวางระเบิดที่หน้ากองบัญชาการกองทัพไทย พอวางระเบิดที่จุดเป้าหมายแล้วทั้งคู่แยกย้ายกันหลบหนี ชุดสืบสวนไล่ตรวจสอบกล้องวงจรปิดจนพบคนร้ายใส่หมวกแก๊ปสีดำที่วางระเบิดหน้ากองทัพไทยไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ห้างบิ๊กซี แจ้งวัฒนะส่วนคนร้ายใส่หมวกแก๊ปสีขาว ก่อเหตุวางระเบิดศูนย์ราชการฯ โดยสารรถแท็กซี่หนีไปลงที่ห้างแม็คโคร สาขารังสิต ถนนพหลโยธิน ต.ประชาธิปัตย์ อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี จากการตรวจสอบกล้องวงจรปิดบริเวณหน้าห้องน้ำชาย เวลา 15.50 น. วันที่ 1 ส.ค. พบคนร้ายรายนี้มาเปลี่ยนเสื้อผ้าจากนั้นนั่งรถแท็กซี่ไปหมอชิตใหม่เพื่อขึ้นรถทัวร์หลบหนีลงใต้ จากการเปรียบเทียบภาพคนร้ายรายนี้จากกล้องวงจรปิดที่ศูนย์ราชการฯ กับที่ห้างแม็คโคร พบว่าเป็นคนร้ายรายเดียวกัน เพราะคนร้ายเปลี่ยนแต่เสื้อผ้า ไม่ได้เปลี่ยนรองเท้ารายงานระบุต่อว่า ทีมสืบสวน บช.น.คาดว่า ห้องน้ำที่ห้างแม็คโคร สาขารังสิต น่าจะเป็นจุดที่คนร้ายนัดรวมตัวกันอีกจุด หลังวางระเบิดเป้าหมายเสร็จ เพื่อมาเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เตรียมไว้ในกระเป๋าเป้ อำพรางตัวกันถูกติดตามจับกุมก่อนหลบหนี มีรายงานอีกด้วยว่า ชุดสืบสวนได้ตรวจสอบกล้องวงจรปิดหน้าห้องน้ำห้างแม็คโคร สาขารังสิต ตัวเดียวกัน วันเดียวกันย้อนหลังไปเวลา 14.10 น. พบคนร้ายอีก 2 คน คาดว่าไปก่อเหตุที่สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ถนนศรีสมาน ท้องที่ สภ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี ทั้งคู่แต่งกายลักษณะเดียวกัน ใส่หน้ากากอนามัย สวมหมวกแก๊ป สะพายเป้เดินเข้าไปในห้องน้ำเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า และยังพบอีกว่าคนร้ายทั้ง 4 คนขึ้นรถทัวร์ บขส.กรุงเทพฯ-สุไหงโก-ลก คันเดียวกับนายวิลดัน มาหะ และนายลูไอ แซแง 2 ผู้ต้องหาซุกระเบิดที่ป้ายสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เดินทางหลบหนีลงภาคใต้ ก่อนทั้งคู่จะถูกจับกุมได้ที่ จ.ชุมพร