โลกของ “ขงจื๊อ” เมื่อ 2,000 กว่าปีที่แล้ว ยังไม่มีโดรนรบ, ไม่มีขีปนาวุธนิวเคลียร์ และไม่มีโซเชียลมีเดียที่พ่นคำพูดเกลียดชังได้ 10 ล้านครั้งในเวลา 3 วินาที แต่สิ่งที่โลกยุคนั้นมีกลับเป็นความปรารถนาที่จะ “อยู่ร่วมกันอย่างกลมกลืน” ไม่ใช่ด้วย “อาวุธ” แต่ด้วย “คุณธรรม”
ท่ามกลาง “โลกยุคแบ่งขั้ว” ที่สหรัฐอเมริกา, จีน, รัสเซีย และพันธมิตรต่างก็ยืนอยู่คนละฝั่งของเส้นประวัติศาสตร์ คอยแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง หลายคนเริ่มย้อนกลับไปหาคำตอบจากโลกเก่าเพื่อปลดล็อกความขัดแย้ง โดยหนึ่งในนั้นคือ “ขงจื๊อ” นักปราชญ์และครูแห่งยุคชุนชิวของจีน ผู้ไม่เคยมีตำแหน่งสูงในการปกครองประเทศ แต่ความคิดสูงส่งยืนยาวมาถึงปัจจุบัน
“ปรัชญาขงจื๊อ” แผ่อิทธิพลยาวนานและลึกซึ้งต่อการบริหารประเทศทั่วเอเชียจนกลายเป็นลัทธิ โดยเฉพาะจีน, เกาหลี, ญี่ปุ่น และเวียดนาม โดยแต่ละประเทศมีการนำแนวคิดนี้ไปปรับใช้เข้มข้นแตกต่างกันไป
“จีน” ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของขงจื๊อ ในราชวงศ์ฮั่น “จักรพรรดิฮั่นอู่ตี้” เริ่มนำลัทธิขงจื๊อมาเป็นแนวทางหลักในการปกครองประเทศอย่างเป็นทางการ โดยใช้เป็นรากฐานคัดเลือกขุนนาง เน้นคุณธรรมของผู้ปกครอง และความจงรักภักดีของประชาชน พร้อมย้ำบทบาทของครอบครัวและความกตัญญู สรุปรวมคือใช้ขงจื๊อเพื่อเสริมอำนาจจักรพรรดิให้มีอำนาจโดยธรรม โดยมีคุณธรรมเป็นแกนกลาง
“ราชวงศ์โชซอนของเกาหลี” รับลัทธิขงจื๊อจากจีนในสมัยราชวงศ์หมิง ต่อมานำหลักขงจื๊อใหม่มาเป็นแนวคิดในการบริหารประเทศ ปฏิรูปสังคมให้สอดคล้องกับระบบศักดินาแบบขงจื๊อ เช่น การแบ่งชนชั้น, มีระเบียบพิธีกรรม และแบ่งหน้าที่ชัดเจนในครอบครัว วิถีชีวิตประจำวันของชาวเกาหลีถูกควบคุมด้วยหลักขงจื๊ออย่างเข้มงวดกว่าจีนในบางช่วง ทั้งเรื่องศีลธรรมและประเพณีจารีต
...
“ญี่ปุ่น” รับหลักขงจื๊อเข้ามาบริหารประเทศในยุคเอโดะ รัฐบาล “โชกุนโทกูงาวะ” นำขงจื๊อมาใช้ควบคุมสังคมร่วมกับลัทธิเซนและศาสนาชินโต โดยวางระบบศักดินาเข้มงวด แบ่งชนชั้นชัดเจนตั้งแต่ชนชั้นนักรบ, ซามูไร, ชาวนา, ช่างฝีมือ ไปจนถึงพ่อค้า ขณะเดียวกันก็สอนให้ประชาชนซื่อสัตย์และกตัญญูต่อผู้มีอำนาจ ทั้งนี้ก็เพื่อเสริมระบบชนชั้นและการจัดระเบียบสังคมให้เข้มแข็ง
“เวียดนาม” รับอิทธิพลขงจื๊อมาจากจีนโดยตรงช่วงที่จีนปกครองเวียดนาม ก่อนศตวรรษที่ 10 สร้างระบบการสอบเข้าเป็นขุนนางตามแบบจีน และใช้หลักขงจื๊อในการสร้างระเบียบสังคมและความสัมพันธ์ในครอบครัว แม้จะรับอิทธิพลมาจากจีน แต่เวียดนามยังคงผสมแนวคิดพื้นถิ่น และมีความยืดหยุ่นกว่ามาก
แก่นของ “ปรัชญาขงจื๊อ” ไม่ใช่สิ่งสูงส่งเกินเอื้อม แต่มันคือ “คุณธรรมในความสัมพันธ์” เขาไม่ได้เรียกร้องให้โลกมีแต่คนเหมือนกัน แต่ให้คนต่างกันอยู่ร่วมกันได้อย่างเข้าใจ ในทางทฤษฎีแล้ว โลกที่ขับเคลื่อนด้วยหลักการนี้จะไม่มี “การล่าอำนาจ” เพราะต่างฝ่ายจะเคารพหน้าที่ของตน และความสัมพันธ์ระหว่างกัน เหมือนลูกคนโตที่ดูแลน้องโดยไม่ใช้อำนาจ เหมือนผู้นำที่เป็นแบบอย่างโดยไม่ต้องออกคำสั่ง
“ปรัชญาขงจื๊อ” อาจเหมาะกับโลกที่ยังให้เวลาแก่ความสัมพันธ์ และเชื่อว่าผู้นำควรได้มาด้วยคุณธรรม ไม่ใช่ด้วยเงินทุนเลือกตั้ง หรือขีปนาวุธ การปกครองที่โปร่งใสในแบบขงจื๊อจะเน้นคัดเลือกคนดีมีฝีมือไม่โกงกินบ้านเมือง เขายังเชื่อว่า การปกครองที่ดี เริ่มจากบ้าน เริ่มจากลูกกตัญญู เริ่มจากคนที่เคารพผู้อื่น
หากหลักขงจื๊อถูกนำมาใช้ในเวทีโลกยุคนี้ เราอาจเห็นผู้นำ “ลดการแข่งกันเป็นเจ้าโลก” และหันมา “แข่งขันกันเป็นคนดี” เพราะขงจื๊อไม่เคยพยายามชนะใคร แต่พยายามเปลี่ยนใจผู้อื่นด้วยความดี
อย่างไรก็ดี ต้องยอมรับในข้อจำกัดของ “ปรัชญาขงจื๊อ” ที่มุ่งรักษาระเบียบสังคมด้วยแนวคิดการกำหนดบทบาทสังคมชัดเจน, เชื่อในโครงสร้างครอบครัวที่มีลำดับขั้น และไม่ตั้งคำถามกับอำนาจที่เหนือกว่า ซึ่งอาจขัดใจผู้คนยุคใหม่ที่กำลังโหยหาสิทธิเสรีภาพและประชาธิปไตย แต่หากนำ “ปรัชญาขงจื๊อ” มาตีความใหม่ โดยดึงหัวใจของขงจื๊อมาใช้ คือ ความเมตตา, ความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น, ความสัมพันธ์อันกลมเกลียว และความเป็นผู้นำด้วยคุณธรรม บางทีเราอาจต้องการ “สุภาพบุรุษในชุดแพร” มาช่วยดับไฟสงครามด้วยคำพูดเรียบง่าย “จงเริ่มต้นที่บ้านของเจ้า แล้วโลกจะเปลี่ยนไปเอง”.
มิสแซฟไฟร์
คลิกอ่านคอลัมน์ “คนดังอะราวนด์เดอะเวิลด์” เพิ่มเติม