สหรัฐฯยังมีการแบ่งแยกสีผิวเผ่าพันธุ์ เคยมีการเรียกร้องที่ทำให้สังคมอเมริกันบริสุทธิ์ด้วย 3 ขบวนการ คือ 1.White Supremacy 2.White Nationalism และ 3.KKK หรือ Ku Klux Klan ไม่ว่าจะเป็นขบวนการใดก็สุดโต่งในเรื่องที่แผ่นดินอเมริกันต้องเป็นของคนผิวขาวและต่อต้านการเข้าเมืองของคนผิวสีอื่น

มีความเชื่ออีกหลายอย่างซ่อนอยู่ใต้สมองของคนอเมริกันจำนวนไม่น้อย เช่น Nordicism (เชิดชูเผ่าพันธุ์อารยันเหนือ), Neo-Confederate (ฟื้นเกียรติภูมิสมาพันธรัฐอเมริกาใหม่), ชาติภูมินิยม, นีโอฟาสซิสต์, นีโอนาซี, ต่อต้านอิสลาม, ต่อต้านความหลากหลายทางเพศ ฯลฯ

ผู้นำที่เป็นศูนย์รวมความสุดโต่งของคนขาวและชาตินิยมผิวขาวคือโดนัลด์ ทรัมป์ ถึงขนาดไปรบกับสถาบันที่รับนักศึกษาจีนและผู้นับถืออิสลามเข้าเรียนหนังสือ ปฏิบัติการกับรัฐที่มีความเชื่อในเรื่องสิทธิมนุษยชนและยอมให้มีความหลากหลายของเชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ และศาสนา อย่างรัฐแคลิฟอร์เนีย

อังคาร 10 มิถุนายน 2025 ผมอ่านข่าวของเอพี ซึ่งตอนอ่านครั้งแรกไม่เชื่อ ถึงขนาดต้องไปไล่อ่านจากสำนักข่าวอื่น เช่น รอยเตอร์ ที่รายงานเรื่องทรัมป์ไปพูดที่ค่ายทหารฟอร์ต แบรกก์ รัฐนอร์ทแคโรไลนา โดยทรัมป์พูดว่า...

“These are animals, but they proudly carry the flags of other countries.” “พวกมันเป็นพวกสัตว์ โบกธงของประเทศอื่นอย่างความภาคภูมิใจ” ทรัมป์พูดว่า “ไอ้พวกประท้วงเหล่านั้นมันต้องการให้กองกำลังต่างชาติรุกรานสหรัฐฯ” เมื่อมีคนถามถึงการถอนกำลังของทหารกองกำลังพิทักษ์ชาติที่ทรัมป์ส่งเข้ามาประจำการในนครลอสแอนเจลิส ทรัมป์บอกว่า...“ไม่มีกรอบเวลาในการถอน”

เสาร์ 7 มิถุนายน 2025 ทรัมป์ลงนามคำสั่งเคลื่อนทหารกองกำลังพิทักษ์ชาติ 2,000 นายเข้าไปที่ลอสแอนเจลิส พอถึงวันจันทร์ที่ 9 เพิ่มทหารเป็น 4,000 นาย ทั้งที่มีคนค้านว่าทหารจะทำให้ลอสแอนเจลิสเหมือนสมรภูมิสงคราม ยิ่งค้านยิ่งทำให้ทรัมป์เดือดดาล ลงนามสั่งเคลื่อนกำลังนาวิกโยธินเข้าไปอีก 700 นาย เพื่อใช้ปราบปรามผู้ประท้วง รวมทั้งปราบปรามผู้อพยพเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย

...

ทรัมป์เคยด่าเซเลนสกี ประธานาธิบดีอูเครน ที่ประกาศ Martial Law หรือกฎอัยการศึกที่ให้ทหารควบคุมประเทศแทนรัฐบาลพลเรือน ระงับสิทธิเสรีภาพของประชาชน ควบคุมสื่อ กำหนดเคอร์ฟิวส์ และห้ามเลือกตั้ง

นิ้วชี้ทรัมป์ใช้ชี้ด่าเซเลนสกีนั้น อีก 3 นิ้วกลับเข้ามาชี้ตัวเอง เพราะขณะที่เขียนเปิดฟ้าส่องโลกฉบับนี้ ทรัมป์บอกว่าตนอาจจะประกาศ Insurrection Act หรือรัฐบัญญัติการก่อกบฏที่ใช้มาตั้งแต่ ค.ศ.1807 ให้อำนาจประธานาธิบดีส่งกองทัพเข้าไปปราบปรามได้ทั่วประเทศ (สหรัฐฯเคยใช้กฎหมายนี้ครั้งสุดท้ายเมื่อ ค.ศ.1992)

คนอเมริกันจำนวนไม่น้อยเลิกเชื่อถือทรัมป์ มองว่าทรัมป์เป็นไอ้กลับกลอก ไม่อยู่กับร่องกับรอย คนเรานะครับ ไม่เชื่อถือศรัทธากันแล้วก็ไม่มีความเกรงใจ ทรัมป์โกรธเรื่องนี้มาก เพราะตัวเองพูดอะไรออกไปไม่มีคนเชื่อ แต่ไม่รู้จะไปโทษใคร อีลอน มัสก์ มัสก์ก็ลาออกไปแล้ว โยนความผิดใส่มัสก์ไม่ได้

ทรัมป์มองหาเหยื่อเพื่อที่จะทุ่มความผิดไปใส่ ก็ไปเจอผู้นำของประเทศที่มีพรมแดนประชิดติดกัน คือผู้นำเม็กซิโก ประธานาธิบดีคลอเดีย ไชน์บาว์ม พอคิดได้ว่าจะต้องใช้นางไชน์บาว์มเป็นเหยื่อ (แทนตัวเอง) ทรัมป์ก็แหกปากบอกชาวโลกว่านางไชน์บาว์มอยู่เบื้องหลังการประท้วงและการก่อจลาจล

“นางคริสตี โนเอม (รัฐมนตรีความมั่นคงแห่งมาตุภูมิสหรัฐฯ) กระซิบใส่หูข้าพเจ้าว่านางไชน์บาว์มอยู่เบื้องหลัง ข้าพเจ้าเชื่อนางโนเอมว่านี่เป็นเรื่องจริง เพราะผู้ประท้วงจำนวนไม่น้อยถือธงชาติเม็กซิโก”

ทรัมป์ต้องการไล่คนเม็กซิกันออกจากสหรัฐฯ แต่หลายฝ่ายออกมาเตือนว่า เศรษฐกิจของรัฐแคลิฟอร์เนียดำเนินไปได้ด้วยแรงงานเม็กซิกัน

การที่ทรัมป์ออกมาดูหมิ่นถิ่นแคลนและเรียกคนประท้วงว่า ‘สัตว์’ ทำให้เกิดความเดือดดาลไปทั่ว นางไชน์บาว์มออกมาพูดให้กำลังใจคนเม็กซิกันในสหรัฐฯว่า “รัฐบาลเม็กซิโกพร้อมปกป้องและดูแลแรงงานชาวเม็กซิกัน ซึ่งทำงานอย่างหนักเพื่อสนับสนุนธุรกิจของสหรัฐฯและเลี้ยงดูครอบครัวในเม็กซิโก”.


นิติการุณย์ มิ่งรุจิราลัย
songlok1997@gmail.com

คลิกอ่านคอลัมน์ “เปิดฟ้าส่องโลก” เพิ่มเติม