ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา สร้างความปั่นป่วนโกลาหลให้ชาวโลกอย่างต่อเนื่อง นับแต่ดำรงตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯสมัย 2 โดยคราวนี้จุดระเบิดสั่นสะเทือนอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ให้ร้อนๆ หนาวๆ

ทรัมป์ประกาศผ่านโซเชียลมีเดียแพลต ฟอร์ม “ทรูธ โซเชียล” เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ได้สั่งการให้ฝ่ายบริหารดำเนินการเก็บ “ภาษี 100%” สำหรับภาพยนตร์ทุกเรื่องที่ฉายในสหรัฐ อเมริกาแต่ไม่ได้ผลิตภายในประเทศ

ให้เหตุผลว่า “อุตสาหกรรมภาพยนตร์ในอเมริกากำลังจะตายอย่างรวดเร็ว” เนื่องจาก ประเทศอื่นๆเสนอแรงจูงใจดึงดูดผู้สร้างภาพยนตร์และสตูดิโอของสหรัฐฯ ยกกองไปถ่ายทำนอกประเทศ ทรัมป์โทษว่าชาติต่างๆ “ขโมย” ความสามารถในการสร้างภาพยนตร์ไปจากสหรัฐฯ ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อฮอลลีวูดและประเทศ ถึงขั้น “เป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติ” ยังย้ำว่า “เราต้องการให้ภาพยนตร์กลับมาสร้างในอเมริกา อีกครั้ง!” ขณะที่ยังไม่วายตำหนิเกวิน นิวซัม ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย ว่าไร้ความสามารถและปล่อยปละละเลยให้เกิดขึ้น

จะว่าไปสิ่งที่ทรัมป์กังวลก็ไม่ผิดนัก ข้อมูลจาก FilmLA องค์กรไม่แสวงหากำไรผู้ติดตามการผลิตภาพยนตร์ในนครลอสแอนเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย แสดงให้เห็นว่าการผลิตภาพยนตร์ ซีรีส์ เรียลลิตี้ทีวี ตลอดปี 2567 ที่ผ่านมา มีจำนวนวันถ่ายทำน้อยกว่าปีก่อนหน้า 5.6% ถือเป็นปีที่มีการผลิตสื่อบันเทิงในพื้นที่น้อยสุดเป็นอันดับ 2 รองจากปี 2563 ซึ่งเกิดการระบาดใหญ่ของโควิด-19 ทั่วโลก ล่วงเลยมาถึงไตรมาสแรกของปีนี้ก็ยังไม่ดีขึ้น ลดลง 22.4% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน เป็นการผลิตรายการโทรทัศน์ลดลง 30.5% ส่วนภาพยนตร์ลดลง 28.9%

ด้านผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย ที่ผ่านมามีรายงานว่าได้ทำข้อเสนอเพิ่มโครงการจูงใจด้านภาษี 2 เท่า จากวงเงินสูงสุด 330 ล้านดอลลาร์ต่อปี เป็น 750 ล้านดอลลาร์ต่อปี ให้สมกับการเป็นเมืองหลวงแห่งความบันเทิงของโลก หากได้รับการอนุมัติ จะมีผลบังคับใช้ 1 ก.ค.นี้ เช่นเดียวกับอีก 38 รัฐทั่วสหรัฐฯ มีมาตรการจูงใจให้มาถ่ายทำ

...

ยังไม่แน่ชัดว่าจะจัดเก็บภาษีดังกล่าวกับทรัพย์สินทางปัญญาอย่างไร รวมทั้งมีรายละเอียดหรือข้อกำหนดอย่างไรบ้าง แต่คาดว่าอาจกระทบภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ เช่น Mission: Impossible-The Final Reckoning ถ่ายทำในหลายประเทศทั่วโลก รวมทั้ง Ballerina สปินออฟจาก John Wick ถ่ายทำในสาธารณรัฐเช็ก เป็นต้น.


อมรดา พงศ์อุทัย

คลิกอ่านคอลัมน์ “หน้าต่างโลก” เพิ่มเติม