ผมก็ยอมรับว่าเกิดอาการมึนงงและห่วงใยต่ออนาคตของโลกใบนี้อยู่พอสมควรเหมือนๆประชาชนชาวโลกอื่นๆ ที่ติดตามเหตุการณ์ของโลกและได้ดูคลิปการ “แถลงข่าว” แบบโต้เถียงกันอย่างเผ็ดร้อนระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา กับประธานาธิบดี โวโลดิเมียร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน ที่ทำเนียบข่าว กรุงวอชิงตัน เมื่อวันเสาร์ที่แล้ว

สืบเนื่องมาจากการเดินทางไปเยือนทำเนียบขาวของประธานาธิบดีเซเลนสกีโดยมีความหวังว่าจะได้ลงนามในสัญญาให้สหรัฐฯได้มีโอกาสใช้แร่หายากของยูเครนเพื่อปูทางไปสู่สันติภาพระหว่างยูเครนกับรัสเซียที่สู้รบกันมาอย่างยืดเยื้อ ครบ 3 ปีไปเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

ทรัมป์นอกจากจะไม่ลงนามในสัญญาฉบับนี้ที่ทางเซเลนสกีประสงค์จะให้มีเงื่อนไขสำคัญข้อหนึ่งคือสหรัฐฯต้องให้คำมั่นสัญญาในการดูแลด้านความมั่นคงให้แก่ยูเครนต่อไปแล้วยัง (ขอโทษด้วย ที่ต้องใช้คำนี้) “ลาก” เซเลนสกีมาขึ้นเขียงทั้งขยี้ทั้งสับต่อหน้าสื่อมวลชนสหรัฐฯ ซึ่งมีการถ่ายทอดสดไปทั่วโลกด้วย

กลายเป็น “ดราม่า” ที่ร้อนฉี่ขึ้นมาทันที เพราะเป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นในวงการทูตของโลกมาก่อนว่าผู้นำประเทศหนึ่งจะลุกขึ้นมาโขกสับผู้นำประเทศที่มาเยือนถึงถิ่นด้วยถ้อยคำที่รุนแรงเช่นนี้

ผมไม่มีโอกาสนั่งฟังการโต้เถียงจนจบ เพราะยาวกว่า 40 นาที แต่จากการฟังเฉพาะส่วนสำคัญๆ ที่สื่อต่างประเทศรายงานเป็นตัวอย่าง พอจะจับความได้ว่าจุดปะทุของความเดือดดาลมาจากคำกล่าวของรองประธานาธิบดีเจดี แวนซ์ ที่หาว่าเซเลนสกีรู้สึก “ขอบคุณ” สหรัฐฯน้อยไป และแทบไม่กล่าวคำขอบคุณอะไรเลยในการมาเยือนครั้งนี้

เซเลนสกีโต้เสียงแข็งทันทีว่าได้กล่าวไปไม่รู้กี่ครั้งว่าผมขอบคุณสหรัฐอเมริกาอย่างยิ่ง (ซีเอ็นเอ็น มานับย้อนหลังให้ พบว่าประธานาธิบดียูเครนกล่าวคำว่าขอบคุณสหรัฐฯมาแล้วถึง 33 ครั้ง)

...

จากประเด็น “ไม่ขอบคุณ” บานปลายไปสู่เรื่องไม่เคารพสถานที่ ไม่เคารพ “ห้องทำงานรูปไข่” ของทำเนียบขาวที่คนอเมริกันถือว่าเป็นห้องทำงานหรือห้องประชุมสูงสุดของประเทศเหตุเพราะ เซเลนสกี ยังคงสวมเสื้อตัวเก่งของเขาโดยไม่สวมสูทผูกไท

กลายเป็นว่าเรื่องที่หลายๆฝ่ายมองว่าไม่ควรนำมาเป็นสาระ แต่ฝ่ายประธานาธิบดีทรัมป์กลับถือเป็นเรื่องใหญ่และทำให้การพบปะกันครั้งนี้จบลงแบบล้มเหลวโดยสิ้นเชิง และเป็นการส่งสัญญาณชัดเจนว่าสหรัฐฯจะไม่สนับสนุนยูเครนต่อไปอีกอย่างแน่นอน

ทรัมป์โพสต์ลงโซเชียลมีเดียว่า ประธานาธิบดีเซเลนสกีไม่พร้อมสำหรับ “สันติภาพ” และยังคิดอยู่เสมอว่าการที่มีสหรัฐฯ เข้าไปให้การสนับสนุนที่ผ่านมาทำให้เซเลนสกีได้เปรียบในการต่อรอง ซึ่งทรัมป์ระบุว่าไม่จริงเลย ยูเครนไม่มีไพ่อะไรจะเล่นอีกแล้วด้วยซ้ำ

ข่าวล่าสุดต่อมาแจ้งว่า เซเลนสกี ซึ่งโดนหักหน้าอย่างเจ็บปวดที่วอชิงตันได้เดินทางต่อไปอังกฤษเพื่อพบกับนายกรัฐมนตรีอังกฤษเซอร์เคียร์ สตาร์เมอร์ และได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นพร้อมให้กำลังใจในเรื่องที่เกิดขึ้นและจะยืนหยัดเคียงข้างยูเครนต่อไป

ขณะเดียวกันก็จะมีการจัดประชุมสูงสุดระหว่างผู้นำยุโรป หลายประเทศและแคนาดาในเวลาบ่ายๆของอังกฤษเมื่อวันอาทิตย์ ซึ่งป่านฉะนี้คงมีผลการประชุมออกมาแล้ว

อังกฤษ ฝรั่งเศส และแคนาดายังคงสนับสนุนเซเลนสกีและยูเครนต่อไป ถึงขั้นมีข่าวว่าจะเสนอตั้งกองทุนเพื่อสนับสนุนการซื้ออาวุธให้แก่ยูเครนในการป้องกันตัวเองและป้องกันยุโรปด้วยจากการรุกรานของรัสเซีย

สงครามรัสเซีย-ยูเครนจะจบลงอย่างไร? แบบไหน? เมื่อทรัมป์แสดงบทบาทออกมาอย่างที่เขาแสดงเมื่อวันเสาร์ที่แล้ว

ยุโรปจะอยู่อย่างไร? จะเปลี่ยนท่าทีหรือไม่? และจะยอมหรือไม่? หากสงครามจบลงโดยรัสเซียจะชนะและยูเครนจะแพ้ ซึ่งประเทศพี่เบิ้มยุโรปส่วนใหญ่ไม่อยากให้เกิดขึ้นเช่นนี้

“ดราม่า” กรณีนี้คงจะไม่จบลงง่ายๆแน่นอน และจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ คงต้องติดตามอย่างใกล้ชิดและอย่ากะพริบตาเด็ดขาดดังที่นักวิเคราะห์เหตุการณ์ทั่วโลกเชิญชวนไว้.

"ซูม"

คลิกอ่านคอลัมน์ “เหะหะพาที” เพิ่มเติม