สัปดาห์ที่ผ่านมา คำว่า Deepseek ถูกค้นหาในออนไลน์มาก ที่กลายเป็นประเด็นน่าสนใจขึ้นมาเพราะ เอไอจีนรายนี้ มาในจังหวะที่สหรัฐฯมีผู้นำคนใหม่และเกิดเหตุการณ์ตลาดหุ้นปั่นป่วนไปทั่วโลก ชาวบ้านอย่างเราที่หาเช้ากินค่ำ คงไม่ให้ความสำคัญและไม่อยากให้ความสำคัญอะไรมากมาย เอาแค่ปากท้องให้รอดไปวันๆไม่มีเวลาจะคิดแล้ว แต่ถ้าดูตามการตั้งข้อสังเกตของ ดร.สันติธาร เสถียรไทย จากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศและกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง. ตั้งคำถามไว้ว่า เทคโนโลยีของจีนหรือสหรัฐฯที่ล้ำหน้ากว่ากัน จากท่าทีของสหรัฐฯที่กีดกันเทคโนโลยีจากจีนอยู่ตลอดเวลาและสหรัฐฯจะหนีพ้นการแข่งขันด้านเทคโนโลยีจากจีนอย่างไร จะเพิ่มความเข้มข้นสงครามการค้า เทคโนโลยี ขนาดไหน จะต้องทุ่มเทเม็ดเงินลงไปขนาดไหน แค่เอไอขนาดยักษ์ ก็มีมูลเกือบเท่าเศรษฐกิจไทยทั้งประเทศแล้ว คงจะไม่สนใจไม่ได้แล้ว

ความสิ้นเปลืองของทรัพยากร ที่รวมถึงการใช้เงินพัฒนาเอไอ ที่ต้นทุนไม่เท่ากัน เช่น Deepseek ใช้เงินพัฒนา น้อยกว่าเทคโนขนาดใหญ่ของสหรัฐฯ 20-30 เท่าและไม่ได้ใช้เทคโนโลยีชั้นสูงมากมาย ซึ่งหมายถึงการทุ่มเทพัฒนาเกินความจำเป็นในการใช้งานหรือไม่ การเข้าถึง การใช้งานได้ง่ายหรือยากก็เป็นปัจจัยสำคัญ การเปิดกว้างให้สามารถนำไปพัฒนาต่อยอดก็สำคัญ คำถามที่ตามมา คือการเป็นผู้นำทางด้านเทคโนโลยีแล้วจะได้เปรียบมากกว่าจริงไหม หัวใจสำคัญคือทำอย่างไรให้ต้นทุนถูกลง เข้าถึงได้ง่ายใช้งานสะดวก ค่าบริการไม่แพง ใครที่สนใจก็สามารถนำไปพัฒนาต่อยอดได้เรื่อยๆทำให้เกิดนวัตกรรมใหม่ๆขึ้นมาไม่สิ้นสุด

คำถามสุดท้าย เอไอยิ่งพัฒนา แต่ละประเทศต่างก็มีการแข่งขันกันมากขึ้น แต่ละเลยการกำกับดูแลความเสี่ยง จะทำให้เกิดอันตรายกับสังคมมากขึ้นหรือไม่

คนที่อยู่เบื้องหลัง Deepseek ที่เป็นคนสัญชาติจีน เหลียง เหวินเฟิง ซึ่งกลายเป็นมหาเศรษฐีจีนในช่วงข้ามคืน และทำให้ Chat GPT หมองไปทันทีตกจากตำแหน่งแอปพลิเคชันฟรีที่มียอดการดาวน์โหลดมากที่สุดในสหรัฐฯ และเป็นตัวอย่างการปลุกกระแสเอไอที่ ทรัมป์ ออกมาแสดงความเห็นว่าบริษัทของสหรัฐฯต้องเริ่มแข่งขันเพื่อเอาชัยชนะ เหลียง อายุยังไม่มาก ประมาณ 40 ปี เป็นคนธรรมดา ที่บ้างานด้านเทคโนโลยี จบจากมหาวิทยาลัยเจ้อเจียงด้านวิศวกรรมข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์และวิทยาการคอมพิวเตอร์ เป็นคนธรรมดาที่หาทางบุกเบิกเทคโนโลยีตลอดเวลา

...

สตาร์ตอัพด้านเทคโนโลยี จากเมืองหางโจว ที่ขึ้นมาทาบรัศมี บริษัทเอไอระดับโลกได้สำเร็จ ด้วยงบประมาณเพียง 5.6 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 189 ล้านบาท ในการพัฒนาแพลตฟอร์มที่มีคนสนใจจำนวนมากทำให้บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่คว่ำไม่เป็นท่า ทำให้ เอ็นวิเดีย ผู้ผลิตชิปรายใหญ่ มีมูลค่าหุ้นในตลาดวอลล์สตรีทลดลงถึง 17% มาได้ข้อสรุปที่ว่า การเอาชนะด้วยเอไอ ไม่ได้อยู่ที่ทุนหรือความล้ำยุคอย่างเดียว แต่อยู่ที่มันสมองของคน

ไม่ต้องอื่นไกลค่ายเพลง บริษัทหนังขนาดใหญ่ต้องล้มละลายเพราะค่ายอินดี้ ไทบ้านมาแล้ว.

หมัดเหล็ก
mudlek@thairath.co.th

คลิกอ่านคอลัมน์ “คาบลูกคาบดอก” เพิ่มเติม