กลายเป็นหนึ่งประเด็นที่ถูกตั้งคำถามอย่างหนัก สำหรับคำสั่งประธานาธิบดี (Executive Order) ของ “โดนัลด์ ทรัมป์” ที่กำหนดการยอมรับเพศสภาพไว้เพียงชายและหญิง
โดยเฉพาะประเด็นที่ว่า ถือเป็นการ “เหยียด” เพศสภาพที่หลากหลายของกลุ่ม LGBT+ และจะทำให้สังคมอเมริกันกลายสภาพไปเป็นเช่นไร หลังจากคนกลุ่มนี้ดูเหมือนจะไม่เหลือที่ให้ยืน
แม้เรื่องนี้จะเป็นการยากที่จะทราบความคิดที่แท้จริงของประธานาธิบดีสหรัฐฯคนใหม่ แต่ถ้ายึดจากคำที่ทรัมป์กล่าวอยู่เสมอว่า “คนเราต้องมีสามัญสำนึก” ก็น่าจะเพียงพอที่จะตีความได้ว่าหมายถึงสิ่งใด
ในช่วงการบริหารของรัฐบาลเดโมแครตตลอด 4 ปีก่อนหน้านี้ ถือเป็นห้วงเวลาที่มีความพิเศษอย่างแท้จริง เพราะเป็นช่วงที่แนวคิดการยอมรับความหลากหลายทาง “เพศสภาพ” ได้รับการยกย่องเชิดชูอย่างเต็มกำลัง จนทำให้มีคนบางกลุ่มเกิดคำถามว่า มันเกินพอดีไปหรือไม่
อย่างการยอมรับแนวคิดเสรีในเรื่องสถานะทางเพศที่นอกเหนือจากความเข้าใจของชาวบ้านทั่วไป จนทำให้จำนวนสถานะทางเพศพุ่งไปอยู่ที่ 74 รายการ อย่าง “แทรนส์เจนเดอร์” รับรู้เข้าใจได้ว่าคือชายที่แปลงเพศเป็นหญิง หรือหญิงที่แปลงเพศเป็นชาย หรือ “นอนไบนารี่” คนที่ไม่อยากถูกจัดกลุ่มว่าเป็นชายหรือหญิง แต่ในกลุ่มใหม่ๆที่ปรากฏมาก็ดูเหมือนจะให้ความสำคัญกับความรู้สึกและอารมณ์ที่อยากจะเป็น อย่างกลุ่ม “แอสทรัลเจนเดอร์” คนที่มีความรู้สึกเชื่อมโยงกับจักรวาล หรือ “เจนเดอร์ฟลักซ์” คนที่มีอารมณ์ในด้านเพศที่ขึ้นลงรุนแรง
มีการกำหนดสรรพนามให้อย่างเรียบร้อยว่า ต้องใช้คำอะไรในการเรียกแทนตัว (แทนการเรียกชื่อ) มาตรฐานเดิมคือ He/Him สำหรับชายหรือ She/Her สำหรับหญิง กลายเป็นสรรพนามกว่า 60 แบบ คนกลุ่มนี้ต้องแทนตัวว่า They/Them (ซึ่งเป็นคำพหูพจน์)คนกลุ่มนี้ต้องแทนตัวว่า ธอน เซีย เซ เฟย์ และอื่นๆอีกมากมาย
...
และแน่นอนกลุ่มคนที่ไม่ยอมรับในเรื่องนี้ ก็จะถูกทัวร์ลง เยาะเย้ย ตีตราจากคนในสังคมหรือกระทั่งสื่อมวลชนสายลิเบอรัล เหยื่อสาวที่ถูกชายสวมกระโปรงแต่งหน้าข่มขืนก็ถูกถากถางว่าเป็นคนขาวบ้านนอก คุณพ่อที่ไปโวยวายกับคณะบริหารโรงเรียนฐานปล่อยให้คนข้ามเพศไปใช้ห้องน้ำหญิง ก็ถูกระบุว่าเป็นพวกเผด็จการฟาสต์ซิส
สังคมถูกบีบให้ยอมรับสภาพ ตกอยู่ในฐานะจำยอม เพราะในบางรัฐที่มีความเป็นสายเสรีนิยมสุดขั้ว การกล้าที่จะเปิดประเด็นเหล่านี้ อาจส่งผลให้ถูกฟ้องร้องทางกฎหมาย หรือถูกบริษัทไล่ออกจากงาน ในฐานะเป็นบุคคลที่เหยียดหยามเพศสภาพ หรือลามไปถึงขั้นเป็นคน “เหยียดผิว”
ข้อมูลต่างๆเหล่านี้ที่ทรัมป์ “รับรู้” ประกอบกับการมีแบ็กอย่าง “อีลอน มัสก์” ที่เคยแสดงจุดยืนว่า จะกำจัดความสุดโต่งเหล่านี้ในสังคม จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ผลลัพธ์คือ คำสั่งประธานาธิบดีฉบับดังกล่าว โดยในเอกสารเขียนจุดมุ่งหมายไว้ว่า สังคมอเมริกันในปัจจุบัน เต็มไปด้วยแนวคิดที่ “ปฏิเสธ” ความจริงทางชีววิทยา

มีการใช้กระบวนการทางกฎหมายและการกดดันทางสังคม เปิดทางให้ชายที่ระบุตัวเองเป็นหญิงเข้ามาในพื้นที่หรือกิจกรรมที่ถูกออกแบบมาเพื่อคุ้มครองสตรีเพศ ไม่ว่าจะเป็นการคุ้มครองจากการถูกใช้ความรุนแรงภายในครอบครัว หรือการคุ้มครองจากการถูกล่วงละเมิดอย่างห้องน้ำในที่ทำงาน ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่อง “ไม่ถูกต้อง”
การไม่ยอมรับสภาพความเป็นจริงทางเพศ ถือเป็นการทำร้ายผู้หญิง เป็นการริบเกียรติและศักดิ์ศรี ริบความปลอดภัยและการเป็นอยู่ที่ดี ความพยายามที่จะกีดกันไม่ให้พูด และการออกนโยบายมาสนับสนุนแนวคิดเหล่านี้ถือเป็นการกัดกร่อนระบบของอเมริกาทั้งหมด
ด้วยเหตุนี้รัฐบาลของข้าพเจ้า (ทรัมป์) จะดำเนินการพิทักษ์สิทธิของสตรีและคุ้มครองเสรีภาพทางสำนึกด้วยการใช้นโยบาย และภาษาที่ชัดเจนเที่ยงตรง ให้มีการยอมรับเพศหญิงและชายตามหลักชีววิทยา สองเพศนี้ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ และมีพื้นฐานอยู่บนความเป็นจริงที่ไม่อาจโต้แย้ง
ขอสั่งการให้หน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯจัดระเบียบกันใหม่เพื่อส่งเสริมเพศตามความเป็นจริง ออกกฎหรือคำแนะนำตาม 2 เพศดังกล่าว ลบแถลงการณ์ นโยบาย แบบฟอร์ม การสื่อสาร หรือข้อความภายในภายนอกหน่วยงานที่เป็นการส่งเสริมแนวคิดความหลากหลายทางเพศ พร้อมยุติการออกแถลงการณ์ นโยบาย ระเบียบปฏิบัติ หรืออื่นๆที่มีเนื้อหานอกเหนือไปจากเพศชายและหญิง อีกทั้งยุติการให้งบประมาณสนับสนุนเรื่องเหล่านี้
นอกจากนี้ยังกำชับไปยังกระทรวงยุติธรรมให้ดำเนินการใดๆเพื่อให้มั่นใจว่านักโทษชายที่อ้างเพศสภาพว่าเป็นหญิงจะไม่ถูกคุมขังรวมกับนักโทษสตรีในเรือนจำ ขณะที่กระทรวงต่างประเทศ กระทรวงความมั่นคง จะต้องดำเนินการเปลี่ยนแปลงเอกสารสำคัญสำหรับยืนยันตัวตน ไม่ว่าจะเป็น “พาสปอร์ต” หรือ “วีซ่า” หรือบัตรผ่านแดน ให้อยู่ภายใต้ 2 เพศที่กำหนด จากที่แต่ก่อนสามารถไม่ระบุเพศ เขียนเป็นตัวอักษร X แทนได้
หน่วยงานทั้งหมดมีเวลา 30 วันในการดำเนินการนับตั้งแต่คำสั่งมีการลงนามบังคับใช้ และให้เวลา 120 วันนับตั้งแต่การลงนาม ในการส่งรายงานความคืบหน้าว่าได้ดำเนินการอะไรไปแล้วบ้างมายังผู้นำสหรัฐฯ โดยระบุรายละเอียดมาให้ชัดเจนว่าได้มีการแก้เอกสารอะไรไป ปรับระเบียบ แก้แบบฟอร์มหรือเปลี่ยนคำแนะนำเช่นใด
...
จึงเป็นเรื่องที่น่าสนใจว่าทิศทางจะเป็นเช่นไร ผลกระทบที่กำลังเห็นเค้าลางคือเรื่องเอกสารต่างๆสำหรับกลุ่มคนอยากมีเพศสภาพไม่ตรงกับเพศกำเนิด แต่
สำหรับแวดวงประชาคมโลกยังนึกภาพไม่ออกว่าจะทำกันอย่างไรต่อไป เพราะในระยะหลังนั้น กลุ่มชาติพันธมิตรตะวันตกต่างก็ “โอบอุ้ม” แนวคิดความหลากหลายทางเพศอย่างเต็มรูปแบบเช่นกัน โดยเฉพาะประเทศใน “สหภาพยุโรป”
จะยอมตามน้ำรัฐบาลสหรัฐฯชุดนี้ หรือจะยึดมั่นในธงสีรุ้งและกัดฟันสู้ 4 ปีรอเวลาทรัมป์ลงจากอำนาจ เป็นประเด็นที่ต้องมาจับตาดูกันอย่างใกล้ชิด.
วีรพจน์ อินทรพันธ์
คลิกอ่านคอลัมน์ “7 วันรอบโลก” เพิ่มเติม