ปัญญาประดิษฐ์ หรือ เอไอ (Artificial Intelligence) กำลังก้าวไปอยู่เหนือจินตนาการของมนุษย์ เราใช้เทคโนโลยีเหล่านี้เพื่อรับใช้ชีวิต เช่น แก้ปัญหาการทำงานที่ซับซ้อน ลดความเสี่ยงและความผิดพลาดในการทำงาน ใช้ในงานทางการแพทย์ ฯลฯ แต่เหรียญมี 2 ด้าน เมื่อเราใช้เอไอมากขึ้น ความมั่นคงในอาชีพก็ตามมา และถึงเอไอจะทำงานได้เร็วไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย แต่ข้อผิดพลาดอย่างไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นได้ ไปจนถึงลดทอนความเป็นมนุษย์ และถูกลากไปเป็นเครื่องมือสร้างอันตรายต่อผู้คนอย่าง “ดีพเฟก” (Deepfakes) ที่เป็นเทคโนโลยีที่ใช้เอไอสร้างวิดีโอ เสียง และภาพบุคคลสาธารณะ โดยแทนที่ใบหน้าของบุคคลหนึ่งไปเป็นอีกคนหนึ่ง ซึ่งตามข้อมูลของเรียลิตี ดีเฟนเดอร์ (Reality Defender) หนึ่งในบริษัทสตาร์ตอัพที่กำลังพัฒนาเครื่องมือเพื่อพยายามตรวจจับ “ดีพเฟก” และเนื้อหาอื่นๆ ที่สร้างโดยเอไอ ระบุว่าในปี 2566 วิดีโอปลอมที่สร้างโดยใช้ “ดีพเฟก” เพิ่มขึ้นถึง 900% ผู้คนใช้เทคโนโลยีนี้เพื่อความบันเทิง ด้วยการแปะใบหน้าของคนดังที่พวกเขาชื่นชอบมาแทนที่ใบหน้าของตน หรือเลียนแบบเสียงของบุคคลที่มีชื่อเสียงอย่างง่ายดาย ซึ่งจากที่เคยเป็นเรื่องทำเล่นกันสนุกๆ ตอนนี้ถูกผู้ไม่หวังดีนำไปใช้เพื่อก่ออาชญากรรมโลกไซเบอร์เช่นกรณีของ เทย์เลอร์ สวิฟต์ ศิลปินดังก้องโลก ที่ถูกทำภาพปลอมลามกอนาจาร หรือเจ้าพ่อเทสลา อีลอน มัสก์ เพิ่งเป็นข่าวไปเมื่อไม่กี่วันนี้ โดยสาวเกาหลีใต้รายหนึ่งยอมเปิดใจผ่านสถานีโทรทัศน์เคบีเอสในประเทศ ว่า เจ้าหล่อนตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพออนไลน์ ที่วิดีโอคอลปลอมใบหน้า มัสก์ มาลวงให้รักและชวนให้ลงทุนจนสูญเงินไปเกือบ 19 ล้านบาท ซึ่งในปี 2567 นี้มีการเลือกตั้งแทบจะทั่วโลก ทำให้กังวลถึงความเสี่ยงที่อนาคตของระบอบประชาธิปไตยจะถูกรบกวนจากข่าวปลอม ที่มีจุดมุ่งหมายให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเข้าใจผิดทั้งนี้เมื่อเดือน ก.พ.ที่ผ่านมามีบริษัท 20 แห่งนำโดยบิ๊กเทค อะโดบี, ไมโครซอฟท์, กูเกิล, เมตา เจ้าของเฟซบุ๊ก และโอเพน เอไอ ได้ลงนามใน “เทค แอคคอร์ด” (Tech Accord) สัญญาจะทำงานร่วมกันเพื่อสร้างเครื่องมือ เช่น ลายน้ำ เทคนิคการตรวจจับร่องรอยการปลอมแปลงและลบล้าง “ดีพเฟก”ส่วนขอบเขตทางจริยธรรมในการใช้ “ดีพเฟก” อยู่ตรงไหน? ยังเป็นสิ่งที่ต้องถกกัน!ภัค เศารยะคลิกอ่านคอลัมน์ “หน้าต่างโลก” เพิ่มเติม