ในปี 2554 เกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวและสึนามิที่โทโฮคุ ในญี่ปุ่น ซึ่งในประเทศไทยก็ประสบอุทกภัยเหตุน้ำท่วมครั้งรุนแรง ทั้งญี่ปุ่นและไทยก็ได้ให้ความช่วยเหลือกันและกันมาตลอด

มาวิกฤตการณ์ครั้งนี้ จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ก็เป็นอีกครั้งที่แสดงถึงความเป็นมิตรในยามยาก โดยในวันที่ 8 ก.ย. นี้ ประเทศไทยจะได้รับบริจาควัคซีนยี่ห้อ “แอสตราเซเนกา” จากรัฐบาลญี่ปุ่น เป็นจำนวน 300,000 โดส

หลังก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 9 ก.ค.ที่ผ่านมา ได้บริจาคมาแล้วจำนวน 1.05 ล้านโดส ซึ่งถ้ารวมกับครั้งนี้อีก 300,000 โดส ก็จะเท่ากับได้รับบริจาคมาจากญี่ปุ่นทั้งหมด 1.35 ล้านโดสแล้ว ที่ญี่ปุ่นอธิบายว่าเป็นการให้โดยดูจากสถานการณ์แพร่ระบาดในประเทศไทย จึงอยากจะเร่งสนับสนุนไทยในการรับมือวิกฤติโควิด-19 โดยเร็วที่สุดดังนี้ 1.การบริจาควัคซีน 2.การเตรียมความพร้อมระบบลูกโซ่ความเย็นที่จำเป็นต่อการจัดเก็บและการขนส่งวัคซีน และ 3.การส่งเสริมระบบตรวจหาเชื้อและการพัฒนายารักษาโรคให้ประเทศไทย

พร้อมยังมีความร่วมมือกับองค์กรระหว่างประเทศในประเทศไทย ให้การสนับสนุนพัฒนาในการปรับปรุงยกระดับห้องปฏิบัติการชีวนิรภัยเพื่อการทดลองและวิจัยโรคติดต่อของสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข โดยจัดสรรงบประมาณผ่านองค์การอนามัยโลก (WHO) 11.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเป็นศูนย์กลางหลักในการตรวจเชื้อไวรัส รวมเชื้อโควิด-19 การวิจัยเกี่ยวกับการตรวจรักษาโรค การพัฒนาวัคซีนและบุคลากร

และญี่ปุ่นยังมอบเงินสนับสนุนจำนวน 50 ล้านดอลลาร์ ในการจัดตั้งศูนย์อาเซียนด้านภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขและโรคอุบัติใหม่ เพื่อเตรียมความพร้อมในการรับมือต่อภาวะ ฉุกเฉินดังกล่าว รวมทั้งด้านการตรวจโรค และจะให้ความร่วมมือกับไทย ซึ่งเป็นประเทศที่มีความก้าวหน้าทางการแพทย์ในภูมิภาคนี้อย่างเต็มที่

...

ทั้งนี้ ประเทศญี่ปุ่นก็กำลังเผชิญสถานการณ์การแพร่ระบาดอย่างรุนแรง อัตราผู้ติดเชื้อเฉลี่ยวันละ 19,399 คน เสียชีวิตเฉลี่ยวันละ 57 คน โดยเผชิญกับเชื้อกลายพันธุ์อันตราย “เดลตา” เหมือนกับไทย แถมล่าสุดยังมีรายงานญี่ปุ่นตรวจพบเชื้อกลายพันธุ์ตัวใหม่ “มิว” อีกด้วย

แม้สภาพการแพร่ระบาดในตอนนี้ เราจะขยับตัวลำบากกว่า แต่ในอนาคตขออย่างเดียวว่า อย่าลืมคนที่เคยมีบุญคุณกันอย่างเด็ดขาด อย่างกรณีประเทศญี่ปุ่นนี้ สักวันก็หวังว่า จะได้เห็นภาพเราคืนอะไรให้เขาบ้างครับผม.

ตุ๊ ปากเกร็ด