ทำไมไม่มีเสียงยี้!! ตอนที่สภาประชาชนแดนมังกรลงมติรับรองให้ “สี จิ้นผิง” เป็นประธานาธิบดีตลอดชีพของจีน จนกว่าจะสละตำแหน่ง ไม่เหมือนบางประเทศที่ประชาชนเดินประท้วงขับไล่ผู้นำไม่เว้นแต่ละวัน เพราะสุดทนกับความไร้วิสัยทัศน์ในการบริหารบ้านเมือง
สุนทรพจน์ที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน ในกรุงปักกิ่ง เนื่องในโอกาสครบรอบ 100 ปี การก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์จีน เมื่อเร็วๆนี้ ตอกย้ำชัดถึงภาวะผู้นำของ “สี จิ้นผิง” ที่ทั้งดุดันน่าเกรงขาม และเป็นที่พึ่งพิงได้ของประชาชน โดยเฉพาะที่เขาประกาศกร้าวว่า “คนจีนไม่เคยรังแก กดขี่ หรือข่มเหงชนชาติอื่น ขณะเดียวกัน คนจีนก็จะไม่ยอมให้ต่างชาติมารังแก กดขี่ หรือข่มเหงพวกเรา ใครก็ตามที่หาญกล้าทำเช่นนั้น จะต้องหัวแตกและหลั่งเลือดลงบนกำแพงเหล็ก ที่สร้างขึ้นจากเลือดเนื้อของพี่น้องประชาชนจีน 1,400 ล้านคน” ห้าวเป้งขนาดนี้ เลยได้ใจคนจีนทั้งโลก ชาติไหนกล้ารวมหัวบูลลี่กลั่นแกล้งคนจีน ก็เตรียมหัวแตกเลือดโชกไว้เลย!!
กว่า 8 ปีเต็ม ที่รั้งตำแหน่งประธานาธิบดีของจีน “สี จิ้นผิง” ได้รับเสียงชื่นชมมาตลอด ในฐานะนักปฏิรูปวิสัยทัศน์ไกล และมือปราบคอร์รัปชัน ที่วางยุทธศาสตร์พัฒนาประเทศได้อย่างล้ำลึก เพื่อนำพาแดนมังกรไปสู่เป้าหมายการสร้าง “ความฝันของจีน” ผลักดันให้เกิดการฟื้นฟูประเทศขนานใหญ่, สร้างความเป็นจีนยุคใหม่ที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกร, ยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชน, สร้างสังคมที่ดีขึ้น, ขยายแสนยานุภาพของกองทัพให้แข็งแกร่ง และปลุกพลังคนหนุ่มสาวให้ทุ่มเททำงานหนักเพื่อความสำเร็จ โดยต้องไม่ลืมอุดมการณ์สังคมนิยม ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญในการสร้างประเทศ
หนึ่งในความสำเร็จน่าภูมิใจคือ การประกาศต่อที่ประชุมพรรคคอมมิวนิสต์ เมื่อปลายเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา “วันนี้จีนไม่มีคนจนแล้ว!!” โดยประเทศจีนสามารถเอาชนะความยากจนได้เบ็ดเสร็จในปี 2020 เมื่อคนยากจนกลุ่มสุดท้ายของจีนมีรายได้สูงขึ้นเหนือระดับ 4,000 หยวนต่อปี (คิดเป็นเงินไทย 20,174 บาท) อันเป็นเส้นวัดความยากจนของประเทศจีน ก่อนหน้านี้เมื่อปี 2013 “สี จิ้นผิง” ออกมาแถลงตัวเลขจำนวนคนยากจนในจีนว่ามีสูงถึง 98.99 ล้านคน กระจายอยู่ใน 832 มณฑลทั่วประเทศ นับแต่นั้นมามีการตั้งเป้าว่า ภายในปี 2020 ประชาชนชาวจีนทั้งหมดจะต้องก้าวพ้นจากเส้นความยากจน คนจนจะต้องหมดไปจากประเทศจีน
...
กระนั้น เพื่อหาพันธมิตรบนเวทีโลก หลังถูกโดดเดี่ยวจากประชาคมโลก เพราะโดนกล่าวหาว่าเป็นต้นตอการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้ความน่าเชื่อถือและเรตติ้งความนิยมของจีนเสื่อมถอยลง “สี จิ้นผิง” จึงเกลี้ยกล่อมให้พรรคคอมมิวนิสต์จีนเห็นถึงความจำเป็นในการปรับภาพลักษณ์ประเทศให้น่าเชื่อถือขึ้น, ดูมีความเป็นมิตร และเป็นพี่ใหญ่น่าเคารพยกย่องบนเวทีโลก
“จีนต้องระมัดระวังโทนเสียงที่ใช้ในการสื่อสารกับชาวโลก, ต้องเปิดใจกว้าง และอ่อนน้อมถ่อมตน เราจำเป็นต้องปรับปรุงวิธีการบอกเล่าเรื่องราวของตัวเองต่อโลก และโน้มน้าวให้ผู้คนมองว่าพรรคคอมมิวนิสต์พยายามทำงานอย่างหนักเพื่อความสุขของประชาชนทั้งประเทศ”
ถือเป็นการพลิกบทบาทจากการทูตแบบปะฉะดะ ที่เน้นตาต่อตาฟันต่อฟัน ในยุคที่ต้องเผชิญหน้ากับอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จนก่อให้เกิดสงครามน้ำลายระหว่างจีนกับอเมริกา และยิ่งทำให้จีนถูกมองว่าเป็นภัยคุกคามของชาติตะวันตก
อย่างไรก็ดี ผู้นำสูงสุดตลอดชีพของจีนก็ไม่วายเหน็บอเมริกา โดยเรียกร้องให้ทุกชาติทั่วโลกร่วมมือกันต่อต้านการปิดกั้นทางเทคโนโลยีของแดนอินทรี ตลอดเวลาที่ผ่านมาจีนกล่าวหาอเมริกาว่าพยายามขัดขวางการพัฒนาของจีน ด้วยการปิดกั้นการเข้าถึงเทคโนโลยีของสหรัฐฯ แถมพาดพิงอเมริกาว่าเป็นอุปสรรคขวางความเจริญของโลก หมดยุคประเทศของฉันต้องมาก่อนแล้ว ถึงเวลาที่นานาประเทศควรจับมือสร้างประชาคมโลกที่มีอนาคตสดใสร่วมกัน...ใหญ่คนเดียวยังไงก็ไปไม่รอด.
มิสแซฟไฟร์