จากปฏิบัติการกองทัพตุรกีบุกภาคเหนือซีเรียในเดือน ก.พ. เพื่อหวังบดขยี้กองกำลังชาวเคิร์ดวายพีจี ที่ตุรกีตีตราว่าเป็นกลุ่มก่อการร้าย ฝ่ายตุรกีเริ่มได้ไม่คุ้มเสีย

เพราะถึงยึดตรึงพื้นที่ได้จริง แต่กลับต้องสูญเสียกำลังพลพร้อม “รถถัง” ดีๆไป ทีละคันสองคัน อย่างรุ่น เลียวพาร์ด 2 เอ 4 จากเยอรมนี หรือ เอ็ม 60 เอ 3 จากสหรัฐฯ

โดยฝีมือจรวดต่อต้านรถถัง ส่วนใหญ่เชื่อว่าเป็นรุ่น “คอร์เน็ท” นำวิถีด้วยเลเซอร์ของรัสเซียที่ทะลวงเจาะเกราะรถถังได้สบาย แถมราคายังเทียบกันไม่ได้ หนึ่งระบบยิงพร้อมจรวด 10 ลูก ตกเฉลี่ย 875,000 ดอลลาร์ ขณะที่เลียวพาร์ด 1 คัน ปาไปย่อมๆเกือบ 6 ล้านดอลลาร์

ด้วยเหตุนี้ ในเดือน มี.ค. กระทรวงกลาโหมตุรกีจึงอนุมัติแบบเร่งด่วน จัดหาระบบป้องกันรถถัง “แอคทีฟ โพรเทกชั่น ซิสเต็ม” (APS) มาติดตั้งทันที ซึ่งหวยออกของยูเครน ชื่อ “ซาสลอน” (Zaslon) โดยระบบดังกล่าวจะติดรอบคันรถ เมื่อถูกยิงใส่จะระเบิดตัวเองสร้างม่านสะเก็ดทังสเตนทำลายอาวุธที่พุ่งเข้ามา

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ความมั่นคงบางส่วนตั้งคำถามว่า การติดระบบป้องกันรูปแบบเอพีเอส เอาเข้าจริงแล้ว กลับเป็นผลเสียต่อยุทธการยิ่งกว่าเดิมหรือไม่ ทหารราบฝ่ายเดียวกันตามประกบคุ้มครองรถถังไม่ได้อีกต่อไป เพราะหากเอพีเอสทำงาน ก็ถูกระเบิดเปรี้ยงร่างแหลกเป็นจุณ

นอกจากนี้ หากสังเกตรูปแบบการรบของกองทัพสหรัฐฯในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จะเห็นได้ชัดว่ารถถังหลักอย่าง เอ็ม 1 เอ บรัมส์ แทบจะไม่มีบทบาทภายหลังสงครามอ่าวเปอร์เซียทั้ง 2 ครั้ง ในปี 2534 และ 2546 ที่ต้องใช้รถถังปะทะรถถังและยานเกราะฝ่ายอิรัก กลายมาเป็นมุ่งเน้นหาข่าวกรอง รู้ตำแหน่งที่ตั้งข้าศึก และใช้อาวุธยาวสังหาร ไม่ว่าเครื่องโดรนไร้คนขับ เครื่องบินทิ้งระเบิด หรือปืนใหญ่

...

สงครามในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงจนตามไม่ทัน อาวุธราคาย่อมเยาสามารถสังหารยุทโธปกรณ์แพงแสนแพงได้อย่างง่ายดาย รถถังที่เคยเป็นกำลังรบหลักในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 มาวันนี้กลับต้องถอยฉาก กลายเป็นตัวสำรอง.

ตุ๊ ปากเกร็ด