(แฟ้มภาพ)

อ่านที่ท่านวิจารณ์กันในกระทู้เรื่องของรัสเซียปลายสมัยพระเจ้าซาร์ ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองไปเป็นคอมมิวนิสต์ อ่านแล้วก็เข้าใจว่า น่าจะมีบางท่านเข้าใจสถานการณ์ในตอนนั้นคลาดเคลื่อน

ขอเรียนว่า ในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 คนรัสเซียยังเป็นพวก นิยมกษัตริย์ การประท้วงใดก็ตาม จะต้องมีคนถือพระบรมฉายาลักษณ์ของพระเจ้าซาร์ซะด้วยซ้ำไป

ปลายเดือนธันวาคม ค.ศ.1904 ผู้บริหารโรงงานปูลีนอฟ ในกรุงเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ปลดคนงาน 4 คน คนงานที่โดนปลดเป็นสมาชิกสมัชชาแรงงานรัสเซีย คนงานอีกหนึ่งหมื่นคนจึงตอบโต้นายจ้างด้วยการนัดหยุดงานในวันที่ 3 มกราคม 1905 การนัดหยุดงานลามปามไปในโรงงานอื่นทั่วกรุงเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ที่ผมเรียกนครเซนต์ปีเตอร์เบิร์กว่า “กรุง” ก็เพราะในสมัยนั้นมหานครแห่งนี้เป็นเมืองหลวงของจักรวรรดิรัสเซีย

คนที่ตั้งสมัชชาแรงงานรัสเซียเป็นนักบวชชาวยูเครนชื่อบาทหลวงกาปอน ท่านไม่ได้คิดเรื่องการมงการเมืองอะไรดอกครับ ความมุ่งหวังตั้งใจของท่านก็ต้องการแต่เพียงว่าจะเรียกร้องให้โรงงานปรับปรุงสภาพการทำงานของคนงาน ท่านควบคุมการประท้วงและการนัดหยุดงานของคนงานไม่ให้มีความรุนแรง ท่านต้องการให้เดินประท้วงอย่างเป็นระเบียบและด้วยความสงบ

ก่อนเดินขบวนครั้งสำคัญ บาทหลวงกาปอนถวายจดหมายร้องทุกข์ไปยังพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 ทูลขอให้พระองค์พระราชทานความช่วยเหลือและเปิดโอกาสให้ประชาชนคนที่มีสถานะเป็นกรรมกรที่ได้รับความเดือดร้อนได้เข้าเฝ้า

อาทิตย์ 9 มกราคม 1905 บาทหลวงกาปอนเป็นผู้นำขบวนกรรมกรและครอบครัวจำนวน 200,000 คน ถือภาพพระบรมฉายาลักษณ์ ไม้กางเขน และธงศาสนา เดินกันอย่างสงบ ไปยังพระราชวังฤดูหนาว ซึ่งเป็นที่ประทับของพระเจ้าซาร์ เป้าหมายก็คือ เพื่อถวายฎีกาในเรื่องต่างๆ เช่น เรื่องให้มีการปรับปรุงสวัสดิการโรงงาน ด้านสุขอนามัยและการรักษาพยาบาล การขอขึ้นค่าแรงขั้นต่ำของกรรมกร รวมไปถึงขอให้มีการนิรโทษกรรมนักการเมือง ขอให้มีการเปิดประชุมสมัชชารัฐธรรมนูญ เพราะสภาวะการทางเศรษฐกิจของรัสเซียในตอนนั้นแย่มาก ประชาชนต้องการให้มีการปรับปรุงจากฝ่ายการเมืองการปกครอง

...

ไม่มีใครทราบนะครับ ว่าพระเจ้าซาร์ได้รับจดหมายร้องทุกข์ และขอร้องให้ประชาชนได้มีโอกาสเฝ้าพระองค์ผู้เป็นเจ้าเหนือหัวของชาวรัสเซียทั้งมวลในสมัยนั้นหรือเปล่า? แต่เมื่อประชาชนคนสองแสนเดินทางไปถึงพระราชวังฤดูหนาว พระเจ้าซาร์ไม่ได้ประทับอยู่ที่นั่น

พวกคอสแซคซึ่งเป็นกองทหารราชองครักษ์ก็สลายประชาชนด้วยการระดมยิงข่มขวัญ และสาดกระสุนใส่ขบวนคนงาน ทำให้มีคนตายไปมากกว่า 100 คน บาดเจ็บอีกเป็นพัน

เหตุการณ์นี้นี่แหละครับ ทำให้เกิดรอยร้าวระหว่างราชวงศ์โรมานอฟกับราษฎร พวกพรรคบอลเชวิคซึ่งจ้องทำลายการปกครองเดิมอยู่แล้ว ก็ปลุกระดมทางความคิด และทำได้ผลจนคนที่เคยรักพระเจ้าซาร์กลายเป็นพวกที่มีความคิดว่า พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 เป็นศัตรูของประชาชน

เรื่องทั้งหลายที่เคยเป็นสิ่งชื่นใจของประชาชน ก็กลับกลายเป็นสิ่งที่ประชาชนรัสเซียเกลียดกลัวแขยงแขงขน กรรมกรนอกรัสเซียและผู้คนสำคัญในประเทศต่างๆ ก็เริ่มแสดงความเห็นใจในความทุกข์ยากของกรรมกรรัสเซีย พวกยุโรปและสหรัฐฯก็เริ่มพูดถึงกรรมกรรัสเซียกันมากขึ้น

ตั้งแต่ 9 มกราคม 1905 เป็นต้นมา ข่าวพระเจ้าซาร์และสมาชิกราชวงศ์โรมานอฟก็แพร่ขยายกระจายไปอย่างไว จนเกิดการปฏิวัติรัสเซียครั้งที่ 1 ในเดือนตุลาคม ค.ศ.1905

ความคิดที่ล้มพระเจ้าซาร์และราชวงศ์โรมานอฟจุดติดใน ค.ศ.1905 และอีกสิบกว่าปีต่อมาก็ล้มราชวงศ์นี้ได้สำเร็จ ทำให้จักรวรรดิรัสเซียล่ม และมีการสถาปนาสหภาพโซเวียต มีคนเคยคุยให้ผมฟังว่า อาจจะเป็นไปได้ที่พวกหน้าห้องไม่ได้เอาจดหมายร้องทุกข์ของบาทหลวงกาปอนไปถวายพระเจ้าซาร์ จึงทำให้พระองค์ไม่ทราบและไม่ได้ประทับอยู่ที่พระราชวังฤดูหนาวในวันรุ่งขึ้น ที่ผิดอีกพวกหนึ่งก็คือ พวกกองทหารองครักษ์คอสแซคที่สาดกระสุนใส่ประชาชนจนมีคนตาย.

นิติการุณย์ มิ่งรุจิราลัย
songlok1997@gmail.com