
ปีนี้แม้ตลาดหุ้นโลกจะเผชิญแรงกดดันจากดอกเบี้ยสูง ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ และความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ แต่หุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ของสหรัฐฯ อย่างหุ้น “7 นางฟ้า” หรือ Magnificent Seven ยังคงเป็นกลุ่มที่ครองเกมตลาดหุ้นสหรัฐฯ และนักลงทุนทั่วโลกยังจับตามองมากที่สุด
Apple, Microsoft, Alphabet, Amazon, Nvidia, Meta และ Tesla ยังเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของตลาดทุนสหรัฐฯ โดยข้อมูลในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาที่ชี้ว่า 7 นางฟ้ายังครองสัดส่วนขนาดใหญ่ของมูลค่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยกว่าครึ่งของผลตอบแทนดัชนี S&P 500 มาจากหุ้นเพียงไม่กี่บริษัทในกลุ่มนี้ แม้จะมีสัญญาณการปรับตัวลงอย่างรุนแรงในช่วงปลายไตรมาสสามที่ผ่านมา จากแรงเทขายหุ้นที่เกี่ยวข้องกับ AI และเซมิคอนดักเตอร์ เพราะความกังวลเรื่องฟองสบู่ AI จนทำให้นักลงทุนจำนวนหนึ่งตั้งคำถามว่าการลงทุนในหุ้นเทคฯ ยังคงคุ้มค่ากับความเสี่ยงอยู่จริงหรือไม่
อย่างไรก็ตามหากย้อนดูภาพรวมปีนี้จะเห็นว่าหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีนำโดย “7 นางฟ้า” ไม่ได้เติบโตพร้อมกันเหมือนในช่วงก่อนหน้า แต่ทิศทางตลาดสะท้อนให้เห็นการกระจายการลงทุนที่มากขึ้น โดยนักลงทุนเริ่มแยกแยะบริษัทที่มอบตัวเลขรายได้รวมถึงอัตราการทำกำไรที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น เพื่อพิจารณาว่าใครสามารถเปลี่ยนเทคโนโลยี โดยเฉพาะ AI ให้กลายเป็นรายได้จริง
จุดเด่นสำคัญของผลการดำเนินงานในปีนี้ พิสูจน์ให้เห็นได้จากความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดอิสระ (Free Cash Flow) ในระดับสูง แม้จะมีการเพิ่มค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยพัฒนาและลงทุนใน AI, Cloud และโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล แต่บริษัทยังมีฐานลูกค้าและระบบนิเวศที่แข็งแรง รวมถึงความสามารถในการขยายสเกลเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ยิ่งตอกย้ำบทบาทของพวกเขาในการกำหนดอนาคตตลาด
ปีนี้สะท้อนชัดว่า “7 นางฟ้า” ยังเป็นกลุ่มหุ้นที่มีศักยภาพการเติบโตสูง แต่ตลาดไม่ได้มองพวกเขาเป็นกลุ่มเดียวกันอีกต่อไป ตลาดเริ่มให้คุณค่ากับ “คุณภาพของการเติบโต” มากกว่าความคาดหวังเพียงอย่างเดียว และทำให้หุ้นเทคโนโลยียังคงเป็นแกนหลักของเศรษฐกิจโลกในระยะยาว
หากต้องเลือกหุ้นที่มีผลงานโดดเด่นที่สุดในกลุ่มปีนี้ชื่อของ Nvidia ถูกยกขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่งอย่างชัดเจน Nvidia กลายเป็นหัวใจของการเติบโตด้าน AI ระดับโลก จากความต้องการชิปประมวลผลสำหรับ Data Center และระบบ AI ของบริษัทเทคยักษ์ใหญ่ รัฐบาล และองค์กรขนาดใหญ่ ส่งผลให้รายได้และกำไรเติบโตในอัตราก้าวกระโดด พร้อมอัตรากำไรที่สูงผิดจากอุตสาหกรรมฮาร์ดแวร์ทั่วไปนักวิเคราะห์มองว่า Nvidia ไม่ได้เป็นเพียงหุ้นที่ราคาปรับขึ้นแรงแต่เป็นบริษัทที่สร้างโครงสร้างพื้นฐานของเศรษฐกิจ AI ไม่ใช่แค่ในสหรัฐอเมริกา แต่สามารถขยายตลาดใหม่ได้ทั่วโลก โดยเฉพาะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทำให้ผลการดำเนินงานมีนัยสำคัญต่อทั้งอุตสาหกรรมเทคโนโลยี
รองลงมาคือ Microsoft และ Alphabet ที่โดดเด่นในมิติของการนำ AI ไปต่อยอดกับธุรกิจหลัก Microsoft สามารถผสาน AI ผ่าน Copilot เข้ากับ Office, Windows และ Azure ทำให้ AI กลายเป็นแหล่งรายได้ใหม่ในระดับองค์กร ขณะที่ Alphabet ใช้ AI เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้ธุรกิจการค้นหาและโฆษณา พร้อมผลักดันธุรกิจ Cloud เข้าใกล้จุดคุ้มทุนมากขึ้น ทั้งสองบริษัทสะท้อนภาพว่า AI ไม่ใช่แค่ต้นทุนของบิ๊กเทค แต่เป็นเครื่องมือปกป้องและขยายธุรกิจเดิมได้จริง
Meta ฟื้นความเชื่อมั่นนักลงทุนจากการควบคุมต้นทุนและการใช้ AI เพิ่มประสิทธิภาพโฆษณา Amazon โดดเด่นด้านการฟื้นตัวของกำไร หลังปรับโครงสร้างธุรกิจค้าปลีกและเพิ่มประสิทธิภาพให้กับ AWS
ขณะที่ Apple แม้การเติบโตชะลอลง แต่ยังแข็งแกร่งจากรายได้บริการและระบบนิเวศ ส่วน Tesla ยังคงเผชิญแรงกดดันในธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้า แต่ยังถูกประเมินมูลค่าจากศักยภาพระยะยาวด้าน AI และรถไร้คนขับ
ภาพรวมในปีนี้ Nvidia โดดเด่นเหนือทั้งดัชนีและหุ้นขนาดใหญ่รายอื่น ตามด้วย Apple, Microsoft, Alphabet และ Meta ให้ผลตอบแทนเหนือดัชนีในระยะยาว โดย Apple และ Microsoft เป็นผู้นำด้านการรักษาเงินสด ขณะที่ Amazon และ Tesla มีความผันผวนสูงกว่า แต่ยังคงเอาชนะตลาดได้
บทสรุปปี 2025 ทำให้ตลาดเห็นทิศทางมากขึ้นว่าหุ้นเทคโนโลยียุคใหม่ไม่ได้วัดกันแค่การเติบโต แต่ต้องชนะในเกม โดยเฉพาะการสร้างรายได้จาก AI บริษัทที่สร้างเงินสดได้มากจะเป็นบริษัทที่สามารถลงทุนเพื่อ “ครองอนาคต” ได้ก่อนคู่แข่ง บริษัทเหล่านี้ยังเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของดัชนีหุ้นที่กำหนดทิศทางพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนทั่วโลก และเป็นผู้กำหนดจังหวะนวัตกรรมในอุตสาหกรรมสำคัญ ตั้งแต่โครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีไปจนถึงเทคโนโลยีในระดับผู้บริโภค
อ่านเพิ่มเติม
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ -