
ช่วงที่ผ่านมาหุ้นเทคโนโลยี โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มปัญญาประดิษฐ์ (AI) กลายเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่พาตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทะยานขึ้นทำสถิติสูงสุดในปี 2025 ล่าสุดนักวิเคราะห์จาก JPMorgan ธนาคารรายใหญ่สหรัฐฯ ประเมินว่า เพียงแค่กลุ่มบริษัทที่เกี่ยวข้องกับ AI จำนวน 30 แห่ง ก็สามารถสร้างความมั่งคั่งให้กับนักลงทุนไปแล้วกว่า 5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราวๆ 163 ล้านล้านบาท ภายในปีที่ผ่านมา
ในบันทึกของธนาคารเมื่อเดือนกันยายนระบุว่า บริษัททั้ง 30 แห่งนี้คิดเป็น 44% ของมูลค่ารวมในดัชนี S&P 500 ซึ่งส่วนใหญ่ที่ติดโผล้วนเป็น “ยักษ์เทคโนโลยี” ที่อยู่ในทุกชั้นของห่วงโซ่เทคโนโลยี AI ตั้งแต่ชิปประมวลผลจนถึงซอฟต์แวร์คลาวด์และแพลตฟอร์มข้อมูล
จากลิสต์ทั้ง 30 แห่ง ทำให้เห็นประเด็นสำคัญว่า “ความมั่งคั่งจาก AI” ส่วนใหญ่ยังคงกระจุกอยู่ในมือของยักษ์เทคโนโลยีเพียงไม่กี่ราย จะเห็นว่าเพียง 6 แห่งแรก Nvidia, Microsoft, Apple, Alphabet, Amazon, Meta มีมูลค่ารวมกันเกือบ 18 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นกว่า 80% ของมูลค่าตลาดทั้งหมดในกลุ่มนี้
นอกจากนี้แนวโน้มการเติบโตของห่วงโซ่การผลิต โดยเฉพาะ “ชิปประมวลผล” ซึ่งชัดเจนว่าเป็นหัวใจของ AI โดยเกือบครึ่งหนึ่งของรายชื่อทั้งหมดเป็นบริษัทเซมิคอนดักเตอร์และฮาร์ดแวร์ เช่น Nvidia, AMD, Intel, Broadcom, Micron และ Supermicro ซึ่งสะท้อนว่า AI เฟสแรกยังขับเคลื่อนด้วย ฮาร์ดแวร์และพลังการประมวลผล
โดยการเติบโตของซอฟต์แวร์และคลาวด์อย่าง Microsoft, Salesforce, ServiceNow, Adobe และ Palantir คือ ชั้นบนของห่วงโซ่ บริษัทเหล่านี้คือผู้สร้าง มูลค่าเชิงระบบ (Systemic Value) จากการนำ AI เข้าไปยกระดับการทำงานขององค์กร นอกจากนี้ยังสะท้อนให้เห็นว่า AI กำลังขยายไปสู่ภาคอื่น อาทิ Tesla และ Uber สองตัวแทนของ AI ในยานยนต์และระบบอัตโนมัติ รวมถึง Digital Realty Trust และ Constellation Energy ตัวอย่างของโครงสร้างพื้นฐานเบื้องหลัง AI และศูนย์ข้อมูลและพลังงานไฟฟ้า
อย่างไรก็ตาม จากลิสต์ดังกล่าวทำให้เห็นภาพรวมเชิงเศรษฐกิจว่า AI ไม่ได้เป็นแค่ “เทรนด์เทคโนโลยี” อีกต่อไป แต่ได้กลายเป็น แรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจหลักของสหรัฐฯ โดย JPMorgan ได้ประเมินเพิ่มเติมว่า ความมั่งคั่งที่เพิ่มขึ้นจากหุ้นทั้ง 30 ตัวนี้จะช่วยกระตุ้นการบริโภคในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นราว 180,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี หรือประมาณ 0.9% ของการบริโภครวมทั้งหมด
แม้ภาพรวมของ JPMorgan ยังคงมองบวกต่อหุ้น AI แต่ได้เตือนนักลงทุนว่า หากเกิดการ “ปรับฐาน” ในตลาดหุ้นกลุ่มนี้ก็อาจลบล้างความมั่งคั่งที่เพิ่งเกิดขึ้นไปได้มาก และอาจทำให้เกิด ความเสี่ยงเชิงโครงสร้าง เพราะหากความเชื่อมั่นในตลาด AI สะดุดหรือเกิดการปรับฐาน ราคาหุ้นที่ร่วงลงอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจจริงได้อย่างรวดเร็ว โดยมีการประเมินไว้ว่า หากหุ้น AI ปรับตัวลงเพียง 10% ก็อาจทำให้ความมั่งคั่งหายไป 2.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และการบริโภคลดลงราว 95,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 0.45%
ทั้งนี้ JPMorgan มองว่าหุ้นเทคโนโลยีจำนวนมากโดยเฉพาะบริษัทที่เกี่ยวข้องกับ AI สามารถต้านทานความผันผวนของตลาดและปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงครึ่งหลังของปีและจะยิ่งดันให้ดัชนีหลักของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทำจุดสูงสุดใหม่หลายครั้งหลังจากนี้
โดยมองว่าสถานการณ์ตลาดในปัจจุบันยังไม่บ่งชี้ถึงการกลับตัวของเทรนด์ AI อีกทั้งบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำหลายแห่งก็ยังรายงานผลประกอบการไตรมาส 3 ที่แข็งแกร่ง ซึ่งได้รับแรงหนุนจากกระแสลงทุนใน AI อย่างต่อเนื่อง และขณะเดียวกันยังประเมินอีกว่า การทุ่มลงทุนใน AI ที่เกิดขึ้นในขณะนี้อาจคืนทุนได้ภายในไม่กี่ปีข้างหน้าด้วยเช่นกัน
อ่านเพิ่มเติม
ที่มาข้อมูล Business Insider
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ -