ปฏิวัติเทคโนโลยีโลกครั้งใหญ่ จับตาผลกระทบมาตรการใหม่ทรัมป์ "ห้ามส่งออกชิปไปจีน"

Tech & Innovation

Tech Companies

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

ปฏิวัติเทคโนโลยีโลกครั้งใหญ่ จับตาผลกระทบมาตรการใหม่ทรัมป์ "ห้ามส่งออกชิปไปจีน"

Date Time: 17 เม.ย. 2568 12:22 น.

Video

หุ่นยนต์มนุษย์จีน ทำไมน่ากลัว ? วิเคราะห์เบื้องหลังทดสอบเทคโนโลยีครองโลก | Digital Frontiers EP.39

Summary

  • จับตา โลกอาจกำลังเข้าสู่ยุค AI แบบแยกขั้ว ผู้ผลิตชิปยักษ์ใหญ่ Nvidia และ AMD ออกโรงเตือนผลกระทบ เตรียมรับแรงกระแทกมาตรการใหม่ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์จำกัดการส่งออกชิปของผู้ผลิตไปยังจีน เผยความเสียหายจากผลกระทบยอดขายกว่าหมื่นล้าน ทำไมอุตสาหกรรมชิปถึงจะพังไม่น้อย จะเกิดอะไรขึ้นกับอุตสาหกรรมเทคฯ หลังจากนี้ ?

ล่าสุด Nvidia กลายเป็นเหยื่อรายล่าสุดของสงครามการค้าระหว่างสองมหาอำนาจเศรษฐกิจโลก หลังจากรัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศจำกัดการส่งออก "ชิป AI รุ่น H20" ไปยังจีน ส่งผลให้บริษัทต้องบันทึกผลขาดทุนกว่า 5.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

ชิป H20 ถูกออกแบบมาโดยเฉพาะเพื่อให้เป็นไปตามข้อจำกัดการส่งออกเดิมของสหรัฐฯ ในยุคประธานาธิบดีโจ ไบเดน แต่กลับกลายเป็นว่าถูกจัดให้อยู่ภายใต้ข้อบังคับใหม่อย่างกะทันหัน โดยทางการสหรัฐฯ แจ้งว่า Nvidia จะต้องมี “ใบอนุญาตพิเศษ” ในการส่งออกชิปรุ่นนี้ไปยังจีน ซึ่งอาจกระทบยอดขายในจีนกว่า 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามการประเมินของวงในอุตสาหกรรม

แม้ก่อนหน้านี้ Nvidia ได้เข้าพบทรัมป์ในฟลอริดาเพื่อปรับความเข้าใจว่ามาตรการควบคุมจะไม่เข้มงวดกับ H20 โดยเฉพาะหลังจากที่ Nvidia ประกาศแผนลงทุน 500,000 ล้านดอลลาร์ในสหรัฐฯ ซึ่งดูเหมือนว่าจะสร้างความประทับใจให้กับประธานาธิบดี

ด้วยความมั่นใจดังกล่าว Nvidia จึงแจ้งกับลูกค้าในจีน อาทิ Alibaba, ByteDance และ Tencent ว่าชิป H20 จะไม่ได้รับผลกระทบจากข้อจำกัดใหม่ และทำให้บริษัทรอดพ้นจากมาตรการที่เข้มงวดขึ้น อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เกิดขึ้นกลับตรงกันข้าม ทรัมป์ตัดสินใจสั่งห้ามส่งออก H20 ซึ่งเป็นชิปที่บริษัทเทคจีนจำนวนมากใช้ในการพัฒนาโมเดล AI เพื่อแข่งขันในเวทีโลก

อย่างไรก็ตามในเอกสารยื่นต่อตลาดหลักทรัพย์ฉบับล่าสุด Nvidia ระบุว่า บริษัทต้องบันทึกค่าใช้จ่ายมูลค่า 5.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในรายไตรมาสที่ 1 ซึ่งครอบคลุมต้นทุนชิป H20 ที่ค้างสต็อกและสัญญาซื้อที่ทำไว้ล่วงหน้า

ผู้ผลิตชิปเตรียมรับแรงกระแทก

Advanced Micro Devices (AMD) ระบุว่ามาตรการควบคุมใหม่อาจทำให้สูญเสียรายได้สูงสุดถึง 800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จาก “ชิปรุ่น MI308” ขณะที่ ASML บริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์เซมิคอนดักเตอร์จากเนเธอร์แลนด์ พลาดเป้าการสั่งซื้อและเตือนว่า “ข้อจำกัดด้านภาษีศุลกากรทำให้ความต้องการในตลาดไม่แน่นอน”

ด้าน Intel ก็แจ้งลูกค้าในจีนเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า ชิป AI รุ่นที่มีแบนด์วิดท์ DRam รวมตั้งแต่ 1400 GB/s หรือ I/O แบนด์วิดท์ตั้งแต่ 1100 GB/s หรือรวมกันเกิน 1700 GB/s จะต้องขอใบอนุญาตก่อนส่งออก ซึ่งทั้งชิป Gaudi ของ Intel และ H20 ของ Nvidia ต่างก็เกินเกณฑ์เหล่านี้ทั้งหมด

ทำไมอุตสาหกรรมชิปจะพังไม่น้อยจากมาตรการทรัมป์

  • สูญเสียตลาดใหญ่ที่สุดของโลก

แม้การควบคุมการส่งออกของสหรัฐฯ จะทำให้บริษัทชิปอเมริกันเข้าถึงตลาดจีนได้ยากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่จีนก็ยังคงเป็นแหล่งรายได้หลักที่สร้างรายได้ถึง 20–30% ให้กับบริษัทผู้ผลิตชิปรายใหญ่หลายราย ตัวอย่างเช่น Nvidia ที่มีรายได้จากจีนกว่า 13% หรือประมาณ 1.7 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐในปีงบประมาณล่าสุด (ลดลงจาก 21% ในปีก่อนหน้า) สำหรับ AMD จีนเป็นตลาดใหญ่อันดับสอง คิดเป็นมากกว่า 24% ของรายได้ทั้งหมด

โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจาก DeepSeek เปิดตัวโมเดล AI ราคาประหยัดที่มีความสามารถด้านการให้เหตุผลสูง ความต้องการชิป AI ในจีนก็พุ่งสูงทันที บริษัทจีนหลายแห่งได้สั่งซื้อชิป H20 จาก Nvidia รวมกันเกือบ 17,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปีนี้ อย่างไรก็ตาม Nvidia มักใช้เวลานานกว่า 6 เดือนในการส่งมอบชิปเหล่านี้ และคำสั่งซื้อส่วนใหญ่ในปีนี้ยังไม่ได้ส่ง ซึ่งจะได้รับผลกระทบจากข้อจำกัดล่าสุด หากสูญเสียตลาดนี้ นั่นคือการพลาดโอกาสเติบโตมหาศาล

  • ต้นทุนจม ขาดทุนจากสต๊อกสินค้า

Nvidia และ AMD ต้องเผชิญกับปัญหาชิปค้างสต๊อกที่ไม่สามารถส่งออกได้ ทั้งนี้ตัวเลขขาดทุน 5.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐที่ Nvidia ประกาศนั้น ส่วนใหญ่เป็นต้นทุนวัตถุดิบในการผลิตชิปตามคำสั่งซื้อเหล่านี้ ตลอดจนค่าปรับและต้นทุนดำเนินงานที่เกิดจากการไม่สามารถส่งมอบตามข้อตกลง ซึ่งผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น อาจทำให้ผู้ผลิตชิปเผชิญกับต้นทุนจมจำนวนมหาศาล

  • รวนห่วงโซ่อุปทาน

มาตรการของทรัมป์อาจเร่งให้เกิด “การแยกเทคโนโลยี” (Tech Decoupling) ระหว่างประเทศพันธมิตรของสหรัฐกับจีน ทำให้เกิดมาตรฐานการผลิตและระบบ AI ที่ไม่เชื่อมโยงกัน ซึ่งผู้ที่จะได้รับผลกระทบก็จะเป็นบริษัทสหรัฐฯ ที่พึ่งพาชิ้นส่วนและอุปกรณ์สำคัญจากจีน โรงงานผลิต เช่น TSMC, ผู้ผลิตเครื่องจักร เช่น ASML, Applied Material, บริษัททดสอบ/แพ็คชิป ซึ่งต้องแยกบริการสองฝั่ง และอาจนำไปสู่ปัญหาห่วงโซ่อุปทานสะดุดในท้ายที่สุด

สงครามการค้าระลอกใหม่ เพิ่มแรงกดดันต่อยักษ์ใหญ่เทคโนโลยี

Dan Ives หัวหน้าฝ่ายวิจัยเทคโนโลยีจาก Wedbush เตือนว่า มาตรการควบคุมที่เข้มข้นกว่านี้อาจตามมาอีก “สิ่งที่เกิดขึ้นกับ Nvidia น่ากังวลแต่ไม่เหนือความคาดหมาย เพราะเรากำลังอยู่ในสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนที่น่าจะรุนแรงขึ้นอีก”เขากล่าว

ตั้งแต่ปี 2022 รัฐบาลของประธานาธิบดีไบเดนได้เริ่มจำกัดการขายชิปขั้นสูงไปยังจีน เพื่อสกัดไม่ให้ประเทศดังกล่าวพัฒนาเทคโนโลยีที่อาจนำไปใช้ในทางทหาร และเมื่อไม่นานมานี้ รัฐบาลสหรัฐฯ ยังได้ขยายขอบเขตของมาตรการดังกล่าวให้ครอบคลุมประเทศที่สาม เพื่อป้องกันไม่ให้จีนเข้าถึงเทคโนโลยีผ่านช่องทางอื่น 

ล่าสุดเมื่อวันที่ 11 เมษายน 2025 จีนได้เพิ่มภาษีศุลกากรขึ้นอีกสำหรับสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ จาก 84% ทำให้ภาษีรวมอยู่ที่ 125% ณ ปัจจุบัน เพื่อตอบโต้การขึ้นภาษีของสหรัฐฯ ซึ่งส่งผลให้เกิดสงครามการค้าระหว่างสองประเทศ อ่านเพิ่มเติม จีนโต้กลับสหรัฐฯ ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าสูงสุดเป็น 125% ซัดนโยบายทรัมป์แค่เรื่อง “ตลก”

ด้านกระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐฯ ยืนยันว่าจะกำหนดข้อกำหนดใบอนุญาตใหม่สำหรับชิป H20 ของ Nvidia และ MI308 ของ AMD โดยมาตรการเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการควบคุมไม่ให้จีนเข้าถึงเทคโนโลยีที่อาจใช้ในทางการทหาร

อย่างไรก็ตามแม้ว่าในขณะนี้ทรัมป์จะยังไม่รวม “เซมิคอนดักเตอร์” ไว้ในมาตรการภาษีใหม่ แต่ข้อกำหนดใหม่นี้จะมีผลอย่างไม่มีกำหนด นอกจากนี้ยังมีการกล่าวถึงการเก็บภาษีเฉพาะกลุ่มตามมาที่อาจเพิ่มเติมอีกในไม่ช้า โดยมีการประเมินไว้ว่า มาตรการดังกล่าวอาจทำให้บริษัทอุปกรณ์ผลิตชิปในสหรัฐฯ ต้องแบกรับต้นทุนเพิ่มมากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ต่อปีเลยทีเดียว

Ned Finkle รองประธานฝ่ายกิจการภาครัฐของ Nvidia แสดงความกังวลว่า มาตรการเหล่านี้จะบั่นทอนความสามารถในการแข่งขันของสหรัฐฯ 

ความล่าช้าหรือการขึ้นต้นทุนจากฝั่งผู้ผลิตชิป จะเพิ่มต้นทุนการผลิตนำไปสู่การชะลอการพัฒนา AI การพัฒนานวัตกรรมที่ช้าลง ทำให้แผนเปิดตัวผลิตภัณฑ์ต้องเลื่อน ซึ่งแน่นอนว่ากระทบต่อผู้บริโภคที่อาจแบกรับราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

หากทรัมป์ยังคงใช้นโยบายภาษีและควบคุมการส่งออกอย่างเข้มข้นต่อไป จะส่งผลกระทบระยะยาวในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี รวมถึงบริษัทเทคโนโลยีระดับโลกเป็นอันดับแรกอย่าง Apple, Amazon, Microsoft, Meta, Tesla ที่ต่างต้องพึ่งพาชิปขั้นสูงในงาน AI, คลาวด์ และ IoT

เพราะเมื่ออุตสาหกรรมชิปที่นับเป็นชิ้นส่วนสำคัญเทียบได้กับ “หัวใจของโลกดิจิทัล” ถูกกระทบ แน่นอนว่าจะส่งผลกระทบไปถึงอุตสาหกรรมเทคโนโลยีทั่วโลกอย่างปฏิเสธไม่ได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่นักลงทุนกลัว ไม่ใช่ใช่แค่เรื่องภาษี แต่กลัวว่าโลกเทคโนโลยีกำลังเข้าสู่ยุคที่แยกขั้วและขาดเสถียรภาพ ตามมาด้วยความเสี่ยงด้านกฎระเบียบเพิ่มขึ้นทั่วโลก ซึ่งนั่นหมายถึงความมั่นคงของห่วงโซ่เทคโนโลยีและมูลค่าทางเศรษฐกิจนับล้านล้านดอลลาร์

หุ้นชิปทั่วโลกร่วงแรง

หุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลกถูกเทขายหนักในวันพุธ (16 เมษายน) หลังท่าทีที่ชัดเจนขึ้นในการตอบโต้กับจีนที่กำลังสร้างความซับซ้อนให้กับแนวโน้มของบริษัทเทคโนโลยีระดับโลกอย่าง Nvidia และ AMD รวมถึงยักษ์ใหญ่อื่นในอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์และ AI

หุ้น Nvidia ร่วงกว่า 7% ในวันพุธ ดัชนี Nasdaq Composite ร่วงกว่า 3% ในวันเดียว ด้าน VanEck Semiconductor ETF ซึ่งสะท้อนภาพรวมของกลุ่มหุ้นชิป ร่วงกว่า 4% ขณะที่ AMD ร่วง 5.8% หลังระบุว่าจะได้รับผลกระทบ 800 ล้านดอลลาร์จากมาตรการล่าสุด หุ้นในกลุ่มชิป AI อื่นๆ อย่าง Arm, Broadcom และ Micron ร่วงระหว่าง 2.5%-4.6%

ด้าน Samsung ปิดลบ 3%, SK Hynix ร่วง 4% ที่เกาหลีใต้ ASM International และ Infineon ของยุโรปร่วงมากกว่า 2% Advantest ผู้ผลิตอุปกรณ์ทดสอบชิปในญี่ปุ่น (ซัพพลายเออร์ของ Nvidia) ตกหนักถึง 5% ติดอันดับหุ้นตกหนักที่สุดในดัชนี Nikkei

อ่านเพิ่มเติม

อ้างอิงข้อมูลจาก Reuters Bloomberg CNBC 

ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ -   


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ