
แม้จะยังดูเหมือนเป็นเรื่องไกลตัว สำหรับคนไทย จากผลกระทบสหรัฐ ขึ้น“ภาษีนำเข้า”กับหลายประเทศ ซึ่งทำเอาทิศทางเศรษฐกิจโลก ตลาดเงิน ตลาดทุน ขณะนี้ กำลังปั่นป่วนไปทั้งระบบ
แต่สถานการณ์ที่ตึงเครียดมากขึ้น ระหว่างสหรัฐฯ และจีน จากการขึ้นภาษีแบบสูงลิ่ว ตอบโต้กันไปมา อาจกลายเป็นพายุเศรษฐกิจ ที่ซัดถึง “คนไทย” ทุกคนในไม่ช้า
หากกำแพงภาษีสหรัฐ กำลังเพิ่มแนวโน้ม ให้“สินค้าจีน” ทะลักเข้ามาในประเทศไทยมากขึ้น จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าผู้ประกอบการไทยสู้ ของราคาถูกจากแผ่นดินใหญ่ไม่ไหว ,SMEs ไทยเสี่ยงเจ๊ง เพราะโรงงานถูกบีบจนขาดทุน คนทำงานเสี่ยงตกงาน เมื่อนั่นเราคงต้องหันมาสนใจข่าวใหญ่นี้กันจริงจัง
ข้อมูลวิเคราะห์ของธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ (LH) ชี้ให้เห็นถึงคาดการณ์ดังกล่าว ว่า ปัจจุบัน สินค้าจีนครองส่วนแบ่งมูลค่านำเข้า ประมาณ 26.3% จากการนำเข้าทั้งหมดของไทย
ขณะในช่วงหลายปีที่ผ่านมา สินค้าจีน มีการส่งออกมาไทย เพิ่มขึ้นอย่างมีนัย จาก 50,270 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2562 เป็น 80,608 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2567 ที่ผ่านมา เท่ากับ มีการเติบโตกว่า 1.6 เท่า หรือ โตเฉลี่ยสะสมต่อปี เกือบ 10%
โดยสินค้านำเข้าจากจีนสูงสุด 10 อันดับแรก มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ สินค้าในกลุ่มเครื่องจักรไฟฟ้า และส่วนประกอบเครื่องจักรกล และส่วนประกอบ เคมีภัณฑ์ แผงวงจรไฟฟ้า สินแร่โลหะ และ เศษโลหะ รวมถึงผลิตภัณฑ์พลาสติก
อันดับ 1 : เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ
อันดับ 2 : เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ
อันดับ 3 : เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน
อันดับ 4 : เคมีภัณฑ์
อันดับ 5 : เครื่องคอมพิวเตอร์อุปกรณ์และส่วนประกอบ
ทั้งนี้ เมื่อการส่งออกของจีนไปสหรัฐฯ ถูกจำกัดด้วยกำแพงภาษีทั้งภาษีนำเข้าเดิมที่ประกาศจัดเก็บไปเมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2568 ในอัตรา 20% และส่วนเพิ่มจากมาตรการภาษีตอบโต้ที่เพิ่งประกาศออกมาเรื่อยๆ เกิน 100%
จีนมีแนวโน้ม ที่จะหันมาระบายสินค้าในตลาดอื่น โดยเฉพาะอาเซียน ซึ่งเป็นภูมิภาคใกล้เคียงที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจและมี ความต้องการสินค้าราคาถูก โดยสินค้าที่มีความเสี่ยงอาจทะลักเข้ามาในภูมิภาคและไทย ได้แก่ เครื่องใช้ไฟฟ้าและ ส่วนประกอบ (เช่น ตู้เย็น เครื่องซักผ้า เครื่องปรับอากาศ) เครื่องคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ ยานยนต์และชิ้นส่วน เครื่องจักรและส่วนประกอบ ปิโตรเคมี (เช่น เม็ดพลาสติก) รวมถึงเหล็ก อะลูมิเนียม และผลิตภัณฑ์เหล็กและอะลูมิเนียม
สำหรับผลที่จะเกิดขึ้นจากปัญหาดังกล่าว คือ การแข่งขันตลาดในประเทศ และในภูมิภาคาเซียนจะทวีความรุนแรงขึ้น สำหรับผู้ผลิตที่ต้องเผชิญการแย่งส่วนแบ่งตลาดจากสินค้าราคาถูก จากจีน โดยผู้ผลิตในประเทศไทย และอาเซียนจะได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการทุ่มตลาดของสินค้าจีนที่มีต้นทุนการผลิตต่ำกว่าและมีกำลังการผลิต ส่วนเกินจำนวนมาก ทำให้ต้องแข่งขันทางด้านราคาอย่างรุนแรงเพื่อรักษาส่วนแบ่งตลาด
สอดคล้องกับ ความกังวลของผู้ประกอบการ ในกลุ่ม ภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ที่ระบุว่า การไหลทะลักเข้าของสินค้าจีน สร้างผลกระทบ ทำให้ส่วนแบ่งตลาดของสินค้าไทยลดลงโดยเฉพาะสินค้าในกลุ่มอุปโภคบริโภค รวมถึงยังกดดันความสามารถในการแข่งขันด้านราคา
เนื่องจากในภาพรวมราคาสินค้านำเข้าจากจีนมีราคาต่ำกว่าสินค้าที่ผลิตในประเทศไทย ประมาณ 20 - 40% ซึ่งเกิดจากความได้เปรียบด้านต้นทุนและเทคโนโลยีการผลิตของจีน สินค้าราคาถูกจำนวนมากที่เข้ามาทุ่มตลาดทำให้ผู้บริหาร ส.อ.ท. มีความกังวลว่า ผู้ประกอบการ SMEs ไทยจะสูญเสียขีดความสามารถในการแข่งขัน จนอาจทำให้บางอุตสาหกรรมต้องลดกำลังการผลิตหรือปิดกิจการได้
นอกจากยังเป็นห่วงถึงประเด็น การลักลอบนำเข้าสินค้าที่ไม่มีคุณภาพ ละเมิดลิขสิทธิ์ ทั้งผ่านด่านศุลกากรและแพลตฟอร์มออนไลน์ การนำเข้าสินค้ามาสวมสิทธิ์ในการส่งออก หรือใช้วัตถุดิบภายในประเทศเพียงส่วนน้อย รวมถึง การขาดดุลการค้าและดุลการค้าที่ไม่สมดุล จะส่งผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจด้วย
สุดท้าย อาจกล่าวได้ว่า คนไทยที่วันนี้ได้ “ของถูก” แต่พรุ่งนี้อาจไม่มีเงินซื้อของ แม้จะยังถูกอยู่ก็ตาม เพราะ ผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะธุรกิจเล็ก ๆ หากแข่งขันไม่ได้ โรงงานไทยยอดขายตก เริ่มลดคน ลดค่าใช้จ่าย คนทำงานหลายสายอาชีพเสี่ยงจากรายได้ลดลง รัฐบาลเก็บภาษีได้น้อยลง เศรษฐกิจในประเทศ ก็อาจจะอ่อนแอลงทั้งระบบ
ติดตามข้อมูลด้านเศรษฐกิจและนโยบายรัฐบาล กับ ThairathMoney ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney