ดีลอยท์ ประเทศไทย เปิดเผยรายงานถอดรหัสทิศทางองค์กรไทยในการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลและการก้าวสู่ยุค Generative AI โดยผลสำรวจ Thailand Digital Transformation Survey 2025 พบว่า ตลอดช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ได้สะท้อนให้เห็นทิศทางใหม่ที่องค์กรธุรกิจในประเทศไทยไม่เพียงแค่นำเทคโนโลยีมาใช้ แต่ยังเริ่มวางกลยุทธ์ระยะยาวที่ผสานทั้ง Data และ AI เข้ากับธุรกิจในระดับโครงสร้าง
ดีลอยท์ (Deloitte) ประเทศไทย เปิดเผยรายงานถอดรหัสทิศทางองค์กรไทยในการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลและการก้าวสู่ยุค Generative AI โดยผลสำรวจ Thailand Digital Transformation Survey 2025 พบว่า ตลอดช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ได้สะท้อนให้เห็นทิศทางใหม่ที่องค์กรธุรกิจในประเทศไทยไม่เพียงแค่นำเทคโนโลยีมาใช้ แต่ยังเริ่มวางกลยุทธ์ระยะยาวที่ผสานทั้ง Data และ AI เข้ากับธุรกิจในระดับโครงสร้าง
ผลสำรวจครั้งนี้ดำเนินการโดยการเก็บแบบสอบถามจากองค์กรกว่า 300 แห่งทั่วประเทศ ครอบคลุมทั้งองค์กรขนาดเล็ก กลาง และใหญ่ โดยส่วนใหญ่คือกลุ่มธุรกิจ Consumer ที่ 38% ซึ่งรวมถึงอุตสาหกรรมยานยนต์ ขนส่ง บริการ และค้าปลีก ซึ่งมี 60-70% เป็นผู้บริหารระดับ C-Level และ Board ทำให้ข้อมูลที่ได้มีความลึกและสะท้อนกลยุทธ์ขององค์กรโดยตรง
จากรายงานของดีลอยท์ ได้ทำการแบ่งระดับความพร้อมด้านดิจิทัล (Digital Maturity) ขององค์กรออกเป็น 5 ระดับ ได้แก่
ในปี 2025 พบว่าองค์กรไทยส่วนใหญ่ยังอยู่ในระดับที่ 3 คือ Doing Digital (คิดเป็น 44%) แต่มีแนวโน้มขยับขึ้นสู่ Becoming Digital เพิ่มขึ้นเล็กน้อย ขณะที่ระดับสูงสุด Being Digital ยังพบไม่เกิน 10% ขององค์กรทั้งหมด
ที่น่าสนใจคือ เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2021 ซึ่งเป็นช่วง COVID-19 หลายองค์กรเคยประเมินตนเองว่าอยู่ในระดับ 4-5 เนื่องจากมีการลงทุนเทคโนโลยีอย่างหนักเพื่อรองรับ Work from Home แต่ปัจจุบันกลับเริ่มถอยลงมาอยู่ระดับ 3 เพราะพบว่าการมีเครื่องมืออย่างเดียวไม่พอ ต้องมีคนที่ใช้ได้ดี มี Data ที่พร้อม และมีกลยุทธ์ที่ชัดเจนด้วย
“เราเริ่มรู้ว่า Digital Maturity ไม่ได้อยู่ที่จำนวนโปรแกรมที่ใช้ แต่อยู่ที่การเชื่อมโยงเป็นระบบและสามารถสร้างคุณค่าทางธุรกิจได้จริง” ดร.นเรนทร์ ชุติจิรวงศ์ ผู้อำนวยการบริหาร แผนก Growth ดีลอยท์ ประเทศไทย กล่าว
องค์กรที่ประเมินตนเองว่าอยู่ในระดับ 4 และ 5 มักมีการวัดผลอย่างชัดเจน เช่น มี Dashboard รายวัน มีการทำ AI Recommendation หรือมีระบบ Customer 360 ที่สามารถวิเคราะห์และให้บริการลูกค้าแบบรายบุคคลได้
แม้ว่าเทคโนโลยีพื้นฐานอย่าง Web, Cloud และ Mobile จะยังคงเป็นหัวใจหลักของทุกองค์กร แต่เทคโนโลยีก้าวหน้า (Advanced Tech) อย่าง Data Analytics และ AI กลับเป็นพระเอกในปีนี้ โดยพบว่า 65% ขององค์กรยังใช้ Cloud เป็นโครงสร้างหลักสำหรับการจัดเก็บข้อมูลและรันระบบงานภายในองค์กร ในขณะที่ 44% ใช้ Web Application และ 57% ใช้งาน Mobile Application เพื่อเข้าถึงลูกค้าและบริหารงานจากทุกหนทุกแห่ง (Anywhere)
นอกจากนี้ เทคโนโลยีอย่าง Data Analytics ก็ถูกนำมาใช้งานในระดับองค์กรเพิ่มขึ้นกว่า 20% เมื่อเทียบกับปี 2024 โดยองค์กรใหญ่เริ่มใช้ Data Lake, Business Intelligence (BI) และ Real-Time Dashboard เพื่อติดตามผลงานแบบเรียลไทม์ ด้านองค์กรขนาดกลางและเล็กเริ่มใช้ Self-service Analytics เพื่อให้ทีมงานทั่วไปสามารถดึงข้อมูลมาวิเคราะห์ได้ด้วยตนเอง
ดีลอยท์ รายงานเพิ่มเติมว่า องค์กรในไทยยังคงติดปัญหาที่ทำให้การทำทรานสฟอร์เมชันขับเคลื่อนไปได้ช้า โดยได้สรุปออกมาเป็น 3 ปัญหาหลัก ได้แก่
นอกจากนี้ ยังมีอีก 2 ปัจจัยรองที่เป็นปัญหาและเริ่มถูกพูดถึงมากขึ้น ได้แก่
ทั้งหมดนี้ทำให้องค์กรไทยแม้จะมองเห็นคุณค่าของ Digital Transformation และ AI อย่างชัดเจน แต่เส้นทางก็ยังเต็มไปด้วยอุปสรรคที่ต้องใช้ทั้งเวลา ความเข้าใจ และการวางแผนที่ละเอียดรอบคอบเพื่อเปลี่ยนผ่านอย่างแท้จริง
นอกจากนี้ ผลสำรวจยังชี้ให้เห็นอีกว่าองค์กรส่วนใหญ่ยังไม่มีความเชี่ยวชาญด้าน Gen AI โดย 95% ของผู้บริหารไทยประเมินว่าตนเองยังอยู่ในระดับเบื้องต้นเมื่อเทียบกับระดับโลกซึ่งอยู่ที่ 56% อย่างไรก็ตาม 73% ขององค์กรในไทยมองว่า Digital Transformation ของตนประสบความสำเร็จและยั่งยืน
องค์กรไทยกำลังก้าวเข้าสู่จุดเปลี่ยนสำคัญของการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลอย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่การใช้เทคโนโลยี แต่คือการวางรากฐานใหม่ในทุกมิติขององค์กร เพื่อให้สามารถอยู่รอดและแข่งขันได้ในยุคที่ AI และ Data กลายเป็นกลไกหลักของธุรกิจ
รายงานชี้ให้เห็นว่า มี 5 มิติสำคัญที่องค์กรต้องให้ความสำคัญควบคู่กันไป ดังนี้
ติดตามเพจ Facebook: Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ - https://www.facebook.com/ThairathMoney