เงินล้นโลก ทำไม Ethereum จะเป็นโอกาสทอง? ถึงเวลาจับตาดาวดวงใหม่วงการคริปโตฯ

Tech & Innovation

Digital Assets

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

เงินล้นโลก ทำไม Ethereum จะเป็นโอกาสทอง? ถึงเวลาจับตาดาวดวงใหม่วงการคริปโตฯ

Date Time: 15 ก.ค. 2568 18:02 น.

Video

อธิบายทีเดียวว่า ทำไมฟองสบู่ AI จะไม่แตกซ้ำรอยดอทคอม? | Digital Frontiers EP.51

Summary

นักวิเคราะห์จาก Merkle Capital เผย 3 ปัจจัยที่จะช่วยหนุนระบบนิเวศ Ethereum ทั้งสภาพคล่องโลกที่จะเพิ่มขึ้น การปลดล็อกกฎหมายคริปโตฯ ตลอดจนโมเดลธุรกิจแบบใหม่ที่มุ่งสู่การลงทุนใน BTC และ ETH มากขึ้น ด้วยตัวเร่งเหล่านี้มีโอกาสที่อาจส่งผลให้ ETH ทำสถิติสูงสุดใหม่อีกด้วย

Latest


เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคมที่ผ่านมา บิตคอยน์ (Bitcoin) เพิ่งทำสถิติใหม่ในประวัติการณ์ (All-Time High) ไปด้วยมูลค่าทะลุ 120,000 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งมีเหตุผลมาจากหลากหลายปัจจัยที่ทำให้มูลค่าของสินทรัพย์นี้พุ่งทะยานไปขนาดนี้ และล่าสุด ธนลภย์ ปรีดามาโนช Fund Manager บริษัท เมอร์เคิล แคปปิตอล จำกัด ก็มองว่า ไม่ใช่แค่บิตคอยน์เท่านั้นที่ได้รับอานิสงส์จากเหตุการณ์ทั่วโลก แต่ด้าน Altcoin บนระบบนิเวศ Ethereum ก็ได้รับอิทธิพลเช่นกัน

จากงาน “Ethereum Era is Coming คลื่นใหม่มาแรง โอกาสใหม่ใน Ethereum Ecosystem” โดย Merkle Capital ได้มานำเสนอ 3 แนวโน้มหลักในไตรมาสนี้ที่จะต้องจับตามอง ซึ่งจะเป็นตัวขับเคลื่อนหลักที่ทำให้ Ethereum เติบโต และยังมีโอกาสที่จะทำให้ ETH ทำสถิติสูงสุดใหม่อีกด้วย


สภาพคล่องโลก ปัจจัยสำคัญของโลกคริปโตฯ

จับตาเรื่องของ “สภาพคล่อง” (Liquidity) คีย์เวิร์ดสำคัญของโลกคริปโตในไตรมาส 3 นี้ หลังแนวโน้มสภาพคล่องในระบบเศรษฐกิจโลกส่งสัญญาณเชิงบวก และอาจเป็นตัวเร่งสำคัญที่ผลักดันให้ราคาบิตคอยน์ทะยานขึ้นทำสถิติสูงสุดใหม่ได้อีกครั้งในช่วงครึ่งปีหลัง

ภาพรวมตลาดคริปโตเคอร์เรนซีในไตรมาสที่ 3 ของปี 2025 กำลังถูกขับเคลื่อนด้วยธีมหลักอย่าง “Global Liquidity” หรือสภาพคล่องในระบบเศรษฐกิจโลก ซึ่งเป็นปัจจัยที่นักลงทุนต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด เนื่องจากสภาพคล่องที่เพิ่มขึ้นมักจะส่งผลบวกต่อสินทรัพย์อย่างบิตคอยน์

จากการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ในระยะยาวระหว่างปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจ (M2 Money Supply) และราคาบิตคอยน์ พบว่ามีความเชื่อมโยงกันอย่างมีนัยสำคัญ กล่าวคือ เมื่อปริมาณเงินฝากและเงินในระบบเศรษฐกิจโดยรวมมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น หรือที่เรียกว่าสภาพคล่องล้นระบบ มูลค่าของบิตคอยน์ก็มักจะปรับตัวสูงขึ้นตามไปด้วย

สำหรับแนวโน้มในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ปัจจัยเร่งจะมีน้ำหนักมากกว่าปัจจัยฉุด โดยเฉพาะการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) อาจพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งจะเป็นการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบการเงินโดยตรง และส่งผลดีต่อตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล

และตามวงจรของสภาพคล่องโลกที่มักจะเกิดขึ้นในทุก 3-4 ปี คาดว่าจุดพีคของรอบนี้จะอยู่ในช่วงปลายปี 2025 ถึงต้นปี 2026 ดังนั้น ภาพรวมเศรษฐกิจมหภาคในช่วงครึ่งปีหลังจึงมีทิศทางที่สดใส และหากไม่มีเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เช่น ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ หรือสงครามเข้ามากระทบ ตลาดก็มีโอกาสเห็นการทำ ATH ใหม่ของบิตคอยน์ได้อย่างต่อเนื่อง


สหรัฐฯ เตรียมปลดล็อกกฎหมายคริปโตฯ

ในช่วงสัปดาห์นี้ถือเป็น “Crypto Week” ที่น่าจับตาอย่างยิ่งในแวดวงการเมืองสหรัฐฯ เมื่อฝ่ายนิติบัญญัติกำลังพิจารณาชุดกฎหมายสำคัญที่จะสร้างความชัดเจนและปลดล็อกศักยภาพมหาศาลให้กับอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัล โดยเฉพาะ Stablecoin Bill ที่คาดว่าจะเป็นตัวเปลี่ยนเกม ดึงดูดเม็ดเงินระดับล้านล้านดอลลาร์สหรัฐเข้าสู่เศรษฐกิจคริปโตฯ โดยตรง

ทิศทางการกำกับดูแลสินทรัพย์ดิจิทัลในสหรัฐฯ จากที่เคยเป็นสีเทามานาน กำลังเข้าสู่ช่วงที่เรียกว่า “Regulatory Unwind” หรือการผ่อนปรนและสร้างความชัดเจนทางกฎหมาย โดยมีการผลักดันร่างกฎหมายหลายฉบับเข้าสู่การพิจารณา เช่น Clarity Act, Anti-CBDC Surveillance State Act และที่สำคัญที่สุดคือร่างกฎหมาย Stablecoin

หัวใจสำคัญของกฎหมาย Stablecoin คือการกำหนดนิยามและหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนสำหรับเหรียญตรึงมูลค่า ซึ่งจะสร้างความเชื่อมั่นและเปิดประตูให้ผู้เล่นรายใหญ่อย่างธนาคาร (Bank) และสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร (Non-bank) สามารถเข้ามาในตลาดนี้ได้อย่างเต็มตัว

โดยกฎหมายฉบับใหม่นี้มี 5 เงื่อนไขสำคัญ ที่จะเข้ามาจัดระเบียบและสร้างความเชื่อมั่นให้โลกคริปโตฯ ได้แก่

  • ต้องมีสินทรัพย์ค้ำประกันเต็มมูลค่า 100%: กำหนดให้ Stablecoin ทุกเหรียญจะต้องมีเงินดอลลาร์สหรัฐ (USD) หรือพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ (U.S. Treasuries) ค้ำประกันในอัตราส่วน 1:1 เท่านั้น เพื่อรับประกันเสถียรภาพและสร้างความเชื่อมั่นสูงสุด
  • เปิดเผยข้อมูลโปร่งใสรายเดือน: ผู้ออกเหรียญ (Issuer) มีหน้าที่ต้องจัดทำรายงานและเปิดเผยรายละเอียดของสินทรัพย์ที่ใช้ค้ำประกันต่อสาธารณะเป็นประจำทุกเดือน เพื่อให้นักลงทุนและหน่วยงานกำกับดูแลสามารถตรวจสอบได้
  • ตรวจสอบบัญชีโดยผู้เชี่ยวชาญทุกปี: สำหรับผู้ออก Stablecoin รายใหญ่ ที่มีมูลค่าเหรียญหมุนเวียนในระบบมากกว่า 50,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จะต้องถูกตรวจสอบบัญชีจากองค์กรภายนอกที่มีความน่าเชื่อถือเป็นประจำทุกปี
  • จำกัดผู้ออกเหรียญเฉพาะสถาบันที่อยู่ใต้การกำกับ: ผู้ที่จะสามารถออก Stablecoin ได้ จะต้องเป็นสถาบันการเงินที่ได้รับการรับรองตามกฎหมายเท่านั้น เช่น ธนาคาร หรือบริษัทที่ได้รับใบอนุญาตจากหน่วยงานภาครัฐ (OCC/State-chartered)
  • มาตรการป้องกันการฟอกเงินที่เข้มงวด: ผู้ออกเหรียญต้องปฏิบัติตามกฎหมายป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (AML) และกระบวนการพิสูจน์ยืนยันตัวตนลูกค้า (KYC) อย่างเคร่งครัด รวมถึงต้องให้ความร่วมมือกับมาตรการต่าง ๆ ตามกฎหมาย

ความชัดเจนนี้กำลังดึงดูดความสนใจอย่างล้นหลาม และถูกมองว่าจะเป็นเทรนด์ธุรกิจแห่งอนาคตในลักษณะ เสือนอนกินที่สร้างรายได้อย่างมั่นคงและเติบโตไปพร้อมกับระบบนิเวศคริปโตฯ

หากกฎหมาย Stablecoin ผ่านการรับรอง มีการคาดการณ์ว่ามูลค่าตลาดรวมของ Stablecoin ทั่วโลกจะเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด อาจสูงถึง 10 เท่า แตะระดับล้านล้านดอลลาร์สหรัฐภายในระยะเวลา 5 ปี ซึ่งการเติบโตนี้มีความหมายเท่ากับการอัดฉีดเม็ดเงินมหาศาลเข้าสู่เศรษฐกิจคริปโตโดยตรง

นอกจากนี้ ภาพใหญ่ของชุดกฎหมายที่ออกมายังส่งผลกระทบใน 2 มุมที่น่าสนใจ นั่นคือ

  • ดอลลาร์อ่อนค่า: หากนโยบายเศรษฐกิจทำให้คนลดความเชื่อมั่นในเงินดอลลาร์และสินทรัพย์ของสหรัฐฯ นักลงทุนจะมองหาสินทรัพย์ทางเลือกอื่นเพื่อกระจายความเสี่ยง ซึ่งคริปโตเคอร์เรนซีเป็นหนึ่งในนั้น
  • หนี้สหรัฐฯ เพิ่ม: การที่รัฐบาลสหรัฐฯ มีหนี้เพิ่มขึ้น ทำให้ต้องหาเงินเพิ่ม ซึ่งนั่นก็คือการที่ต้องหาผู้ซื้อพันธบัตรรัฐบาลเพิ่มขึ้น การที่ Stablecoin ถูกกำหนดให้ค้ำประกันด้วยพันธบัตรเหล่านี้ จะเป็นการสร้างอุปสงค์ก้อนใหม่มหาศาล และเร่งการเติบโตของตลาด Stablecoin ไปในตัว

และเมื่อเม็ดเงินจาก Stablecoin หลั่งไหลเข้ามา แพลตฟอร์มที่จะได้รับประโยชน์โดยตรงคือระบบการเงินแบบกระจายศูนย์ หรือ DeFi ซึ่งปัจจุบันแพลตฟอร์มส่วนใหญ่ถูกสร้างขึ้นบนเครือข่าย Ethereum

ข้อมูลล่าสุดตอกย้ำแนวโน้มนี้ โดยกระแสการนำสินทรัพย์ในโลกจริงมาแปลงเป็นโทเคน (Tokenization) ที่ส่วนใหญ่เกิดขึ้นบนเครือข่าย Ethereum เป็นหลัก คิดเป็นมูลค่าสูงถึง 5,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐแล้วในปัจจุบัน การเปลี่ยนแปลงทางกฎหมายครั้งนี้จึงเป็นการปูทางให้ Ethereum กลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินที่สำคัญยิ่งขึ้นในอนาคต


โมเดล MicroStrategy กำลังลามสู่ Ethereum

เมื่อพูดถึงบริษัทมหาชนที่ถือครองบิตคอยน์มากที่สุด ชื่อของ MicroStrategy หรือปัจจุบันคือ Strategy ย่อมปรากฏขึ้นเป็นอันดับแรก แต่เบื้องหลังกลยุทธ์ที่หลายคนมองว่าเสี่ยงสูงและอาจนำไปสู่วิกฤต กลับมีดีไซน์ทางการเงินที่แนบเนียนซ่อนอยู่ และกำลังจะกลายเป็นโมเดลที่บริษัทอื่นนำไปใช้กับเหรียญใหญ่ โดยเฉพาะบน Ethereum

กลยุทธ์ของ MicroStrategy ที่เข้าสะสมบิตคอยน์อย่างต่อเนื่องจนปัจจุบันมีในครอบครองกว่า 601,550 BTC สร้างความกังวลให้กับนักลงทุนบางส่วนที่หวั่นเกรงต่อความผันผวนของตลาด แต่เมื่อเจาะลึกถึงไส้ใน จะพบว่านี่ไม่ใช่แค่การทุ่มเงินซื้อเพียงอย่างเดียว โดย MicroStrategy ใช้เครื่องมือทางการเงินที่เรียกว่า หุ้นกู้แปลงสภาพ (Convertible Bond) ในการระดมทุน ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้สถาบันการเงินขนาดใหญ่เข้ามาลงทุนในบริษัท

ปัจจุบันมีบริษัทมหาชนกว่า 60 แห่งที่เริ่มดำเนินรอยตาม MicroStrategy ด้วยการนำบิตคอยน์เข้ามาเป็นสินทรัพย์ในคลังของบริษัทมากขึ้น

และจากมุมมองของ ธนลภย์ ปรีดามาโนช อธิบายว่า แม้ปรากฏการณ์นี้จะมีลักษณะคล้ายฟองสบู่ แต่เชื่อว่านี่เป็นเพียงช่วงเริ่มต้นของวัฏจักรเท่านั้น ยังไม่เห็นสัญญาณการแตกของฟองสบู่ในเร็ว ๆ นี้ โดยมองว่านี่คือช่วงเวลาของการเพิ่มสภาพคล่อง (Liquidity) ให้กับตลาดบิตคอยน์ ซึ่งในระยะเปลี่ยนผ่านนี้ย่อมมีทั้งบริษัทที่ไปรอดและไม่รอด

นอกจากนี้ โมเดลการระดมทุนเพื่อเข้าสะสมสินทรัพย์ดิจิทัลไม่ได้จำกัดอยู่แค่ที่บิตคอยน์อีกต่อไป โดยปัจจุบันเริ่มมีบริษัทที่นำกลยุทธ์ลักษณะเดียวกันนี้ไปใช้กับ Ethereum (ETH) แล้วอย่างน้อย 3 บริษัท ด้วยเม็ดเงินลงทุนรวมระดับพันล้านดอลลาร์สหรัฐ ได้แก่

  • SharpLink ถือครอง 188,478 ETH
  • Bit Digital ได้แปลงบิตคอยน์ทั้งหมดไปเป็น 100,603 ETH
  • BitMine เล็งที่จะถือ 100,000 ETH

ทั้งนี้ คาดการณ์ว่าในอนาคต แม้การสะสมบิตคอยน์จะยังคงดำเนินต่อไป แต่แนวโน้มการใช้ MicroStrategy Model กับฝั่ง Ethereum จะเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งจะกลายเป็นอีกหนึ่งช่องทางสำคัญที่ผลักดันให้เม็ดเงินจากสถาบันไหลเข้าสู่เหรียญดิจิทัลขนาดใหญ่โดยตรง



Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ