หากลองนึกภาพพิธีกร หรือผู้ดำเนินรายการหญิงที่มีชื่อเสียงระดับโลก หนึ่งในนั้นคงมีชื่อของ “Oprah Winfrey” ติดอยู่ในลิสต์ เชื่อว่าหลายคนเติบโตมาพร้อมกับรายการทอล์กโชว์ “The Oprah Winfrey Show” ที่มักจะเชิญแขกสุดพิเศษ ทั้งคนดัง เซเลบริตี้ ตลอดจนผู้นำระดับโลกมาพูดคุย พร้อมกับให้ข้อคิด แรงบันดาลใจกับผู้ชมมาอย่างยาวนานถึง 25 ปี
ต้องบอกก่อนว่าประวัติความเป็นมาของ Oprah Winfrey มีจุดเริ่มต้นที่ไม่ค่อยดีนัก หรือเรียกได้ว่าแทบจะไม่มีต้นทุนหากลองเทียบกับคนดังอื่น ๆ ในวงการสื่อ แม้ในอดีต Oprah Winfrey จะไม่ได้เกิดมาในครอบครัวที่ร่ำรวย แต่ในปัจจุบัน เธอเป็นหนึ่งในผู้ทรงอิทธิพลในวงการสื่อ เป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ และเป็นนักลงทุนที่ใช้ชื่อเสียงของเธอสร้างอาณาจักรธุรกิจที่มีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐ
บทความนี้ Thairath Money คอลัมน์ How to Make Money จะพาไปทำความเข้าใจแนวคิด กลยุทธ์การใช้ชีวิต ตลอดจนการทำธุรกิจของ “Oprah Winfrey” ที่ทำตามแพชชั่น ความชอบ และคิดถึงสังคมจนทำให้ปัจจุบัน เธอมีความมั่งคั่งสุทธิกว่า 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการบุกเบิกด้านสื่ออย่างชาญฉลาด
ก่อนที่จะไปทำความเข้าใจเรื่องธุรกิจ ต้องขอพาย้อนกลับไปในวันที่ 29 มกราคม 1954 วันที่เด็กหญิง “Oprah Gail Winfrey” เกิดและเติบโตมาท่ามกลางความยากจน ในเมืองโคสซิอุสโก รัฐมิสซิสซิปปี สหรัฐอเมริกา เนื่องจากแม่ของเธอยังอยู่ในช่วงวัยรุ่น ทำให้ Oprah Winfrey ต้องระหกระเหินย้ายที่พำนักอยู่เสมอ
เมื่อโตขึ้นในสังคมที่ไม่ค่อยจะให้โอกาส มีหลายครั้งที่เธอถูกส่งเข้าสถานพินิจเพราะหนีออกจากบ้าน ซึ่งช่วงที่ถูกจองจำอยู่ในสถานพินิจ คือ จุดต่ำสุดในชีวิต เนื่องจากเธอถูกล่วงละเมิดทางเพศจนบอบช้ำทั้งร่างกายและจิตใจ
หลังจากออกจากสถานพินิจ Oprah Winfrey ในวัย 14 ปีถูกส่งไปอยู่กับคุณพ่อ Vernon Winfrey ในเมืองแนชวิลล์ รัฐเทนเนสซี และอาศัยอยู่กับแม่เลี้ยงที่ช่วยเปลี่ยนชีวิตของเธอจากหน้ามือเป็นหลังมือ เนื่องจากทั้งสองให้ความสำคัญกับการศึกษาอย่างมาก ถึงขั้นกำหนดบทเรียน จัดตารางอ่านหนังสือ ให้ Oprah Winfrey ต้องอ่านและเขียนรายงานประจำสัปดาห์ ห้ามออกนอกบ้านเกินเวลากำหนด จนเรียกได้ว่าเป็นการสร้างวินัยเข้มงวด และบ่มเพาะให้เธอเกิดนิสัยรักการเรียนรู้ ซึ่งกลายเป็นรากฐานที่ทำให้เธอเปลี่ยนแปลงไปเป็นคนที่มีวินัย และยังได้ฝึกทักษะการพูดที่เธอสนใจจนชำนาญขึ้นด้วย
Oprah Winfrey เคยให้สัมภาษณ์กับ The Washington Post ในปี 1986 ว่า “ถ้าฉันไม่ได้ถูกส่งไปอยู่กับพ่อ ฉันคงเดินไปในเส้นทางที่แตกต่างออกไป ฉันอาจจะกลายเป็นอาชญากรที่เก่งก็ได้ ฉันคงใช้สัญชาตญาณแบบเดียวกันนี้ในทางที่ต่างออกไป”
หลังจากชีวิตเปลี่ยนผัน Oprah Winfrey ได้เข้าเรียนอย่างจริงจัง มีผลการเรียนที่โดดเด่น บวกกับความสามารถในการพูดในที่สาธารณะ Oprah Winfrey ได้รับทุนการศึกษาเข้าเรียนที่ Tennessee State University มหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงและเก่าแก่สำหรับนักศึกษาผิวสีในสหรัฐอเมริกา เธอเลือกเรียนสาขาการสื่อสาร (Communications) และระหว่างเรียนก็เริ่มฝึกงานและทำงานพาร์ตไทม์ในสถานีวิทยุท้องถิ่น
และในวัยเพียง 19 ปี Oprah Winfrey ก็ได้โอกาสเป็นผู้ประกาศข่าวและผู้สื่อข่าวให้กับสถานีโทรทัศน์ท้องถิ่นในเมืองแนชวิลล์ เธอเป็นผู้หญิงอเมริกันเชื้อสายแอฟริกันที่อายุน้อยที่สุดคนหนึ่งที่ได้ทำหน้าที่นี้ในยุคนั้น
ความก้าวหน้าในสายอาชีพสื่อโทรทัศน์ดำเนินต่อเนื่องจนเธอได้รับตำแหน่งผู้ประกาศข่าวและผู้ร่วมจัดรายการในเมืองบัลติมอร์ แต่ก็พบอุปสรรคอยู่บ้างเมื่อผู้บริหารเห็นว่าเธอ “ไม่เหมาะกับการเป็นผู้ประกาศข่าวสายจริงจัง” จึงให้ย้ายไปจัดรายการเชิงทอล์กโชว์ในช่วงเช้า และนั่นกลับกลายเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ Oprah Winfrey ค้นพบพรสวรรค์ที่แท้จริง
ความสามารถในการสื่อสารอย่างตรงไปตรงมาและใกล้ชิดผู้ชมนั้นได้กลายเป็นสินทรัพย์ทางจิตวิญญาณที่ประเมินค่าไม่ได้ของ Oprah Winfrey ซึ่งต่อมานำมาสู่ต้นกำเนิดรายการ "The Oprah Winfrey Show" ที่เปิดตัวครั้งแรกในปี 1986 และยืนยาวต่อเนื่องถึงปี 2011 ความสำเร็จส่วนหนึ่งมาจากมุมมองแปลกใหม่ในการสัมภาษณ์ ไม่ว่าจะเป็นคนธรรมดาหรือบุคคลที่มีชื่อเสียง เธอเข้าไปนั่งในใจผู้ฟังได้ด้วยการตั้งคำถามแบบจริงใจ มองประเด็นสังคมเชิงลึก และที่สำคัญคือเธอทำให้แขกรู้สึก “ปลอดภัย” ที่จะเปิดเผยเรื่องราวส่วนตัว
หนึ่งในจุดพลิกสำคัญของ Oprah Winfrey คือการเลือกเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์รายการของตัวเอง ผ่านการตั้งบริษัท “Harpo Productions” (ชื่อ Harpo มาจากการสะกดชื่อ Oprah กลับหลัง) ขึ้นมา แทนที่จะทำงานเป็นเพียงลูกจ้างของสถานีโทรทัศน์ เมื่อ The Oprah Winfrey Show ได้รับความนิยมอย่างถล่มทลาย รายได้จากค่าลิขสิทธิ์โฆษณา รวมถึงการขายสิทธิ์ออกอากาศในต่างประเทศ จึงไหลกลับมาที่ตัวเธอโดยตรง
และนอกจากจะดูแลงานผลิตให้ The Oprah Winfrey Show แล้ว Harpo Productions ยังอยู่เบื้องหลังรายการและโปรเจกต์อื่น ๆ อีกมากมาย เช่น Dr. Phil, Rachael Ray, The Dr. Oz Show รวมถึงการผลิตภาพยนตร์หรือสารคดีบางส่วนในนามของโอปราห์และทีมงาน
แม้ตัวเลขรายได้ที่แน่นอนจะไม่ได้เปิดเผยอย่างละเอียด (เนื่องจากเป็นบริษัทเอกชน) แต่ Forbes และสื่อธุรกิจต่างประเทศหลายแห่งประเมินว่า ในช่วงพีคของรายการ The Oprah Winfrey Show แต่ละปี Harpo อาจสร้างรายได้รวมจากโฆษณาและลิขสิทธิ์ได้หลายร้อยล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเงินส่วนใหญ่จะไหลเข้าสู่ Oprah Winfrey ในฐานะเจ้าของหลักของบริษัท
แนวคิด “Ownership of Content” จึงกลายเป็นหนึ่งในหัวใจการสร้างมูลค่าแบบก้าวกระโดดในอุตสาหกรรมสื่อ ที่ Oprah Winfrey ได้พิสูจน์ให้เห็นอย่างชัดเจนว่าหากเราสามารถควบคุมเนื้อหาที่เราสร้างได้เบ็ดเสร็จ นั่นหมายถึงการต่อยอดอีกมากมายในอนาคต
หลังปิดฉากการออกอากาศรายการทอล์กโชว์ที่มีเรตติ้งสูงสุด Oprah Winfrey ได้ร่วมมือกับ Discovery เปิดตัวช่องโทรทัศน์ “OWN” (Oprah Winfrey Network) ในปี ค.ศ. 2011 แม้ช่วงแรกจะต้องเจอกับความท้าทายในการพัฒนาคอนเทนต์และการค้นหาฐานผู้ชม แต่ด้วยความเป็นผู้นำและวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนในการนำเสนอรายการแนวไลฟ์สไตล์และแรงบันดาลใจ ทำให้ OWN เริ่มเป็นที่ยอมรับจนกลายเป็นอีกหนึ่งแหล่งรายได้สำคัญ
Time Magazine เคยสัมภาษณ์โอปราห์ถึงความท้าทายของ OWN ซึ่งเธอตอบว่า “มันไม่ใช่เรื่องง่าย แต่หากเรารู้ว่าเราจะให้คุณค่ากับผู้ชมอย่างไร เราก็จะทำให้สถานีนี้เป็นบ้านแห่งแรงบันดาลใจได้” คำพูดนี้สะท้อนถึงการมองธุรกิจในมิติของ “คุณค่า” มากกว่าผลกำไรเพียงอย่างเดียว
โดยรายการในช่อง OWN จะมีจุดเด่นตรงที่เน้นการสร้างแรงบันดาลใจ นำเสนอด้านไลฟ์สไตล์ และการพัฒนาตัวเอง ตัวอย่างเช่น Oprah’s Master Class, Super Soul Sunday, Iyanla: Fix My Life, Greenleaf, Queen Sugar ซึ่งซีรีส์บางเรื่องได้รับการพูดถึงอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ชมชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกันและผู้หญิงผิวสี จนเกิดกระแสเรตติ้งสูงในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
แม้จะไม่มีการเปิดเผยตัวเลขรายได้อย่างเป็นทางการแบบรายไตรมาส แต่หลังปรับกลยุทธ์และโปรแกรมให้สอดคล้องกับกลุ่มผู้ชมมากขึ้น ในปี 2013 ก็มีรายงานว่า OWN สามารถทำกำไรได้เป็นครั้งแรก และยังคงมีทิศทางการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จนกลายเป็นอีกหนึ่งจุดแข็งในพอร์ตธุรกิจสื่อของ Oprah Winfrey
นอกจากการเป็นนักพูด พิธีกร นักธุรกิจที่ปั้นแบรนด์ของตัวเองจนดังในระดับโลกแล้ว Oprah Winfrey ยังให้ความสำคัญกับการลงทุน โดยเธอจะเลือก “ลงทุนในสิ่งที่สร้างแรงบันดาลใจ และสอดคล้องกับแพชชั่นด้านสุขภาพ ไลฟ์สไตล์ และการพัฒนาคุณภาพชีวิต”
หนึ่งในการลงทุนที่โดดเด่นของ Oprah Winfrey คือการเข้าซื้อหุ้นของ “Weight Watchers” และนั่งเก้าอี้บอร์ดบริหาร ตั้งแต่ปี 2015 เธอเป็นทั้งผู้ถือหุ้นและโฆษกของบริษัท โดยชูภาพลักษณ์การลดน้ำหนักอย่างยั่งยืนและการมีไลฟ์สไตล์ที่ดีขึ้น หุ้น WW พุ่งขึ้นอย่างมากในช่วงแรกหลังจากเธอประกาศเข้าเป็นส่วนหนึ่งของบริษัท และยังคงได้รับความสนใจต่อเนื่องในฐานะแพลตฟอร์มดูแลสุขภาพ
และด้วยความหลงใหลในอาหารเพื่อสุขภาพ Oprah Winfrey จึงเข้าไปร่วมลงทุนใน “True Food Kitchen” ซึ่งเป็นร้านอาหารที่เน้นเสิร์ฟเมนูออร์แกนิก ใช้วัตถุดิบสดใหม่ และสร้างสรรค์เมนูตามหลักโภชนาการ แบรนด์นี้เติบโตอย่างรวดเร็วจากกระแส “clean eating” และ “plant-based diet” ในสหรัฐอเมริกา โดยมี Oprah Winfrey ช่วยหนุนภาพลักษณ์ให้เป็นร้านอาหารแนวเฮลธ์ตี้ระดับพรีเมียมอีกด้วย
Oprah Winfrey ยังได้ลงทุนใน “Maven Clinic” สตาร์ตอัพด้านสุขภาพผู้หญิงและแม่เด็กที่ให้บริการดูแลสุขภาพผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล แนวคิดเรื่องการส่งเสริมสุขภาพสตรีและครอบครัวสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของเธอในการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าให้แก่สังคม โดยเฉพาะการเปิดโอกาสให้ผู้หญิงเข้าถึงบริการแพทย์และคำปรึกษาได้อย่างสะดวก และยังรวดเร็วกว่าการไปพบแพทย์ในรูปแบบเดิม
นอกจากนี้ หนึ่งในเอกลักษณ์ของเธอ คือการไม่ลืมเบื้องหลังชีวิตอันยากลำบาก เธอเชื่อว่าการศึกษาคือเครื่องมือปลดล็อกชีวิต จึงก่อตั้ง “Oprah Winfrey Leadership Academy for Girls” ในแอฟริกาใต้ขึ้นมาเพื่อมอบโอกาสทางการศึกษาให้เด็กผู้หญิงที่ขาดแคลน
Forbes ยังระบุว่า การทำ CSR (Corporate Social Responsibility) และการบริจาคเพื่อสังคมในสเกลใหญ่ของ Oprah Winfrey เป็นอีกจุดที่สร้างความโดดเด่นให้เธอ ไม่ว่าจะเป็นการจัดตั้งมูลนิธิหรือการลงพื้นที่ช่วยเหลือเหยื่อภัยธรรมชาติต่าง ๆ เธอให้ความสำคัญกับการส่งต่อโอกาสให้ผู้อื่นเสมอ
“จุดเริ่มต้นไม่อาจกำหนดว่าชีวิตเราจะจบอย่างไร เพราะเราเลือกที่จะลุกขึ้นสู้และสร้างโอกาสให้ตัวเองได้เสมอ” Oprah Winfrey กล่าว
ความสำเร็จของ Oprah Winfrey ไม่ได้เกิดจากโชคช่วย แต่เกิดจากความสามารถในการเปลี่ยนอุปสรรคให้กลายเป็นพลัง เธอสร้างอาณาจักรธุรกิจด้วยการเป็นเจ้าของคอนเทนต์ ลงทุนในสิ่งที่เธอเชื่อ และไม่เคยลืมที่จะใช้ความสำเร็จของตัวเองเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น
ที่มา: Forbes, Leaders, Investopedia, OWN, Our Business Ladder
ติดตามเพจ Facebook: Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ - https://www.facebook.com/ThairathMoney